รับมือมหันภัยโควิด รัฐบาลต้องจริงจัง
เมื่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 เข้าขั้นวิกฤติ ไม่สามารถรอให้ ครม.ทำหน้าที่ในสภาไปตามปกติ เพราะกระทรวงสาธารณสุขเพียงลำพัง ไม่น่าจะต้านทานไหวกับภารกิจรับมือมฤตยูร้ายโควิด-19
วันที่ 24 ก.พ.2563 คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ประกาศโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย ภายใต้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ลำดับที่ 14 เพื่อให้สามารถใช้ข้อกำหนดตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว ในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค สามารถลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม คณะกรรมการหวังสูงสุดก็คือจะเกิดประโยชน์อย่างมากในการช่วยให้การควบคุมโรคได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นการประกาศเพื่อให้การทำงานของเจ้าหน้าที่จะสามารถชะลอหรือยืดระยะเวลาการเข้าสู่ระยะที่ 3 ไว้ให้ได้นานที่สุด โดยจะมีผลหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา
สาระสำคัญ ยังให้อำนาจเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ มีอำนาจในการดำเนินการหรือออกคำสั่ง เช่น ให้ผู้ที่เป็นหรือมีเหตุสงสัยว่าเป็นโรคมารับการตรวจชันสูตร แยกกัก กักกัน คุมไว้สังเกต และกรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือ กทม. โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดหรือกทม. มีอำนาจสั่งปิดตลาด สถานที่ประกอบการ โรงงาน สถานที่ชุมนุมชน โรงมหรสพ สถานศึกษา หรือสถานที่อื่นใดเป็นการชั่วคราว และสั่งให้ผู้ที่เป็นหรือมีเหตุอันควรหยุดประกอบอาชีพเป็นการชั่วคราว
คล้อยหลังเพียง 1-2 วัน เกิดกรณีคุณปู่มหาภัยตามฉายาโลกออนไลน์ ชายไทยวัย 65 จากผู้ป่วยไข้หวัดธรรมดาของโรงพยาบาลบี.แคร์ ชายคนดังกล่าวกลายเป็นผู้ติดเชื้อรายที่ 38 ของประเทศ พฤติกรรมก่อนผลตรวจเป็นบวก หมิ่นเหม่ท้าทายต่อ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 อย่างยิ่ง โดยเฉพาะประเด็นปกปิดและปฏิเสธการให้ประวัติการเดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยง ส่งผลให้คนอื่น ไม่ว่าเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล พนักงานธนาคารและนักเรียนในโรงเรียน ที่ตนเองไปรักษา ลูกไปทำงาน และหลานไปเรียนหนังสือต้องเดือดร้อนไปด้วย ทั้งๆ ที่ป้องกันได้หากมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม
เราเห็นว่านอกจากอันตรายถึงชีวิต ยังมีผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ความแตกตื่นและความหวาดกลัวยังเห็นได้จากตลาดหลักทรัพย์ไทยวันที่ 26 ก.พ. ดัชนีติดลบมากถึง 72 จุด หรือ 5% ไม่เพียงตื่นตระหนกสถานการณ์โดยรวม แต่ยังเห็นการซ้ำเติมปัญหาการแพร่ระบาดจากการปกปิดข้อมูล ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัว ยิ่งการแพร่ระบาดลามเข้าสู่สถาบันการเงินซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สัญญาณหายนะทางเศรษฐกิจกำลังคืบคลาน ชะตากรรมคนไทยอีกหลายชีวิตรออยู่ข้างหน้า เราเห็นว่าความรับผิดชอบต่อตนเองสำคัญ แต่จิตสำนึกสาธารณะยิ่งสำคัญกว่า
เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรียกประชุมด่วน ตั้งแต่วันนี้ ห้ามมีข้อภารกิจการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 เข้าขั้นวิกฤติ ไม่สามารถรอให้ ครม.ทำหน้าที่ในสภาไปตามปกติ หรือต้องรอจนวันอังคาร จริงอยู่ไวรัสมหาภัยแพร่ระบาดมาระยะหนึ่งแล้ว ทว่า 1-2 วันที่ผ่านมาเข้าขั้นร้ายแรง จำเป็นต้องประชุมด่วน อย่าปล่อยให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ผูกขาดการทำงานอยู่กระทรวงเดียว เราเห็นว่าภารกิจรับมือมฤตยูร้ายโควิด-19 โดย สธ.เพียงลำพัง ไม่น่าจะต้านไหว