กูรูกดปุ่มเชียร์ซื้อ‘หุ้นไทย’ ดัชนีรูดหนักอยู่ใน "โซนถูก” โอกาสรีบาวด์แรง
กูรูตลาดทุนประสานเสียง แนะ "ซื้อ" หุ้นไทยหลังดัชนีร่วงแรงอยู่ในโซนถูก ชี้ มีโอกาสปรับตัวขึ้นแรง
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจจัดสัมนา “ส่องหุ้นไทยปี2020 :ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ” โดยช่วง “เบญจภาคี 5 หุ้นเด็ดปี 2020” ได้กูรูด้านตลาดทุนให้มุมมองทิศทางดัชนีฯและหุ้นเด่น
นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นปรับตัวลดลงแรงอยู่ที่ระดับ1,366 จุด(ดัชนีปิด26 ก.พ.) ลดลง13-14%จากสิ้นปีก่อนเพราะตื่นตระหนกเรื่องการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ซึ่งดัชนีลงรอบนี้ใกล้เคียงกับดัชนีช่วง5ปีที่ผ่านมาอยู่ระดับประมาณ1,200 จุด จึงมองเป็นระดับที่ไม่น่ากังวล เพราะราคาหุ้นถือว่าต่ำ มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น และหากจบการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เชื่อว่ารัฐบาลจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงมองขณะนี้เป็นจังหวะที่นักลงทุนเข้ามาทยอยซื้อหุ้นได้
"ดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงแรงและเร็วในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยขณะนี้ถือว่าอยู่ในโซนที่ถูกแล้วจึงมองเป็นจังหวะทยอยเข้าซื้อได้ โดยสถิติ10 ปีย้อนหลังหากดัชนีลดลง10 วันเกิน8% ดัชนีจะเด้งขึ้นเป็น วีเชฟ จึงเป็นจังหวะในการทยอยเข้าซื้อหุ้นได้"
สำหรับหุ้นแนะนำเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง และได้รับผลกระทบจากแพร่ระบาดโควิด-19 น้อย คือ1.บมจ.เอสไอเอสบี (SISB)ให้ราคาเหมาะสมที่12 บาท เนื่องจากปีนี้คาดว่ากำไรเพิ่มขึ้นเป็น 284 ล้านบาทจากปีก่อนอยู่ที่ 220 ล้านบาท จากจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้น และคาดกำไรยังคงเติบโตต่อเนื่อง เพราะการขยายสาขาอาคารเรียนที่ธนบุรี ทำให้สามารถรองรับจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นได้ถึง4 พันคนและปัจจุบันกระแสความนิยมเรียนโรงเรียนอินเตอร์เพิ่มขึ้น
2. บมจ. อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย(RBF)ให้ราคาเหมาะสมที่ 5.50บาท ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายวัตถุที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหารที่มีการเติบโต และยอดขายส่วนใหญ่มาจากในประเทศ 3. บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์(CHG) ให้ราคาเหมาะสมที่3 บาท เพราะได้ประโยชน์จากประกันสังคมปรับเพิ่มค่ารักษาพยาบาลแก่ผู้ประกันตน และสาขาในต่างจังหวัดที่เคยขาดทุนจะพลิกมีกำไร และจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับลูกค้าเข้ามารักษาเป็นคนไทย
4. บมจ. เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) ให้ราคาเหมาะสมที่ 65 บาท เพราะ ได้ประโยชน์จากต้นทุนดอกเบี้ยที่ลดลงจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยอีกในเดือนมี.ค.ทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลง และ คาดว่ายอดการปล่อยสินเชื่อยังเติบโตและราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวลดลงพอสมควร และ5.บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ให้ราคาเหมาะสมที่60 บาท ธุรกิจใหม่เดินหน้าตามแผน และบริษัทมีการควบคุมต้นทุนที่ดี สภาพคล่องซื้อขายสูงสามารถเก็งกำไรเล่นรอบได้ อย่างไรก็ตามหากนักลงทุนมีหุ้นในพอร์ตมากแล้วเน้นลงทุนในหุ้น SISB และ RBF
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ ประธานสายธุรกิจรายย่อย บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่ถูกซึ่งหากเป็นนักลงทุนระยะยาวสามารถซื้อลงทุนได้ แต่หากเป็นนักลงทุนระยะสั้นหาจังหวะลงทุนซึ่งจุดสังเกตว่าโควิด-19 คลี่คลายในการแพร่ระบาดนั้นให้ดูที่ค่าเงินของแต่ละประเทศหากเริ่มทรงตัวหรือเริ่มแข็งค่าและดูผลอตอบแทนพันธบัตร(บอนด์ยิลด์)ของแต่ละประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นจังหวะซื้อหุ้น
สำหรับหุ้นแนะนำ หากโควิด-19ยังแพร่ระบาดอยู่แนะนำซื้อเพียง บมจ.บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ ( BAM) ให้ราคาเหมาะสม30 บาท ถือเป็นหุ้นปลอดภัย และผลการดำเนินงานไม่ผันผวนมาก ซึ่งในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีจะสามารถซื้อสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำ และมี P/E ต่ำสุดในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ทั้งนี้หากโควิด-19หยุดแพร่ระบาดผลการดำเนินงานจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แนะนำซื้อหุ้น4 บริษัท คือ บมจ. ไทยออยล์ ( TOP)จากค่าการกลั่นปรับตัวดีขึ้น ให้ราคาเหมาะสมที่ 62บาท ,บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE) ให้ราคาเหมาะสมที่ 26 บาท ประกอบกับบริษัทมีบริหารจัดการต้นทุนที่ดี ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น(กรอสมาร์จิ้น) ,บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น(STEC)จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เพราะรัฐบาลจะเริ่มเบิกจ่ายเบิกจ่ายงบประมาณปี2563 ในเดือนเม.ย.นี้ และบมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์ (TASCO)ได้ประโยชน์การลงทุนภาครัฐและราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงทำให้ต้นทุนลดลง ให้ราคาเหมาะสมที่ 27 บาท
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า 2 ปีที่ผ่านมานั้นตนเองไม่เคยแนะนำให้ซื้อหุ้นเพราะด้วยปัจจัยพื้นฐานของประเทศจากที่ประเทศไทยที่มีการลงทุนต่ำ การบริโภคเติบโตน้อยการเข้าสู่สังคมสูงวัย และไม่มีธุรกิจที่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ แต่จากที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยรอบนี้ปรับตัวลดลงกว่า20 %จากระดับกว่า1,850จุด ถือว่าอยู่ในระดับที่ถูกแล้ว จึงแนะนำเข้าซื้อหุ้นได้ และจากสถิติที่ผ่านมารอบที่ดัชนีปรับตัวลดลงระดับกว่า20% หากเข้าซื้ออีก3 ปี จะมีผลตอบแทนเป็นบวก หากหุ้นที่ซื้อเป็นหุ้นพื้นฐานดีมีการเติบโต
สำหรับหุ้นแนะนำ คือ 1. บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS ) ให้ราคาเหมาะสมที่ 28 บาทผลการดำเนินงานเติบโต และการซื้อกิจการบมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) นั้นส่งผลดีจำนวนลูกเพิ่มขึ้น เพราะ BDMS ไม่มีฐานลูกค้าต่างชาติแต่ BH มีลูกค้าต่างชาติจำนวนมาก2. บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT)ให้ราคาเหมาะสมที่ 45 บาท มองระยะยาวผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่องช่วงสั้นราคาหุ้นลดลงจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ในอิตาลี
3. บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT )ให้ราคาเหมาะสมที่ 75 บาท ระยะยาวจำนวนนักท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นจากประเทศไทยเป็นประเทศน่าท่องเที่ยว 4.บมจ. บมจ. ซีพี ออลล์ (CPALL)ให้ราคาเหมาะสมที่ 80 บาท เพราะ มีจุดแข็งจำนวนสาขา และคลังสินค้าที่มีจำนวนมาก ประกอบกับมีการทำระบบขนส่งที่ดี ทำให้ต่างชาติหากเข้ามาขายสินค้าในประเทศไทยเข้ามาใช้บริการและมีกระแสเงินสดที่สูง และหากชนะประมูลเทสโก้โลตัส ยิ่งทำให้กระแสเงินสดสูงขึ้นแต่ระยะสั้นถูกกดดันจากมีอัตราหนี้สินที่เพิ่มขึ้นในการกู้มาซื้อ และ5.บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) มีการลงทุนเพิ่มไม่มากสำหรับ 5G ทำให้อนาคตจะมีการจ่ายเงินปันผลมากขึ้น ให้ราคาเหมาะสมที่226 บาทต่อหุ้น
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ รองกรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรง จากความตื่นตกใจการแพร่ระบาดโควิด-19 การชอร์ตเซลและการถูกบังคับขายหุ้น (ฟอสเซล) ทำให้ดัชนีร่วงลงมาอยู่ระดับต่ำ ทั้งในด้าน P/E มูลค่าตามบัญชี (B/V) จึงเป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้นได้ และคาดว่าใน25 มี.ค.2563 คาดกนง.ลดดอกเบี้ยในการประชุมวันที่25 มี.ค.และเชื่อว่ารัฐบาลจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและคาดว่ากลางปีนี้รัฐบาลจะต้องการทำงบประมาณขาดดุล เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม
สำหรับหุ้นแนะนำ หากโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย แนะซื้อ 1.บมจ. ซีฟโก้ (SEAFCO)ให้ราคาเหมาะสมที่8 บาท เนื่องจากได้ประโยชน์การลงทุนภาครัฐ และมีผลตอบแทนเงินปันผลสูง P/E ต่ำเพียง10 เท่า 2.บมจ.คอมเซเว่น (COM7 ) ให้ราคาเหมาะสมที่32 บาท เพราะ ได้ประโยชน์จาก 5Gและปัจจุบันยังไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และหากโควิด-19 คลี่คลายแนะนำ ,บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ( PTTEP ) ให้ราคาเหมาะสมที่ 152 บาท จะได้ประโยชน์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรง ,AOT ให้ราคาเหมาะสมที่ 80 บาท เพราะระยะยาวมีกำไรเติบโตที่ดี และMINT ให้ราคาเหมาะสมที่ 42 บาท เพราะ ราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรงและจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ระดับต่ำนั้นทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลง