‘เซียนหุ้น’แนะตุนเงินสด รอช้อปของถูก 'นิเวศน์' เชียร์หุ้นพื้นฐานดี 'พี/อี' ต่ำ 10 เท่า
“เซียนหุ้น” แนะตุน “เงินสด” รอช้อปหุ้นถูก หวังพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ด้าน “นิเวศน์” เตรียมเงินสดในพอร์ต 5% รอจังหวะเข้าซื้อเพิ่ม เน้นหุ้นพื้นฐานดี “พี/อี” ต่ำกว่า 10 เท่า มั่นใจเป็นโอกาสคนลงทุนระยะยาว ด้าน “เสี่ยป๋อง” ปรับกลยุทธ์เพิ่มถือเงินสด 80-90%
ดัชนีหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี 2563 ปรับลดลงต่อเนื่อง โดยลดลงมาแล้วราว 239 จุด หรือ 15.14% จากระดับ 1,579 จุด ในช่วงปลายปี 2562 มาอยู่ที่ระดับ 1,340 จุด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากความกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 ที่กำลังลุกลามในหลายประเทศทั่วโลก
นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นและผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแนวเน้นคุณค่า (VI) เปิดเผยว่า ภาวะการลงทุนช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงอันตราย เพราะปัจจัยเชิงบวกค่อนข้างน้อย สวนทางกับปัจจัยเชิงลบที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ "โควิด-19" ที่ลุกลามไปในหลายประเทศและไทยอาจถูกผลกระทบรองจากจีน เนื่องจากพึ่งพาการท่องเที่ยวและส่งออกเป็นหลักจึงส่งผลให้นักลงทุนวิตกและเทขายหุ้นออกมากันจำนวนมาก ประกอบกับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ทรงตัวหรือนิ่งมานานเป็นเวลากว่า 11-12 ปีจากวิกฤตเมื่อปี 2551 ซึ่งเชื่อว่าถึงเวลาที่ต้องปรับตัว เพราะจากสถิติที่ผ่านมาพบว่าทุกๆ 10 ปีจะเกิดวิกฤตขึ้นทุกครั้ง
ทั้งนี้ส่วนตัวเชื่อว่าเมื่อดัชนีตลาดหุ้นร่วงแรง ถือเป็นโอกาสได้เหมือนกัน เพราะทุกครั้งที่เกิดวิกฤตมักจะเกิดโอกาสได้เสมอสำหรับคนที่มีการถือเงินสดอยู่จำนวนมากและลงทุนในระยะยาวได้ จึงเป็นโอกาสที่จะเลือกหาหุ้นที่พื้นฐานดีเพื่อการลงทุน แต่ไม่ได้ลงทุนได้ทุกตัว โดยในส่วนของกลยุทธ์การเลือกหุ้นในช่วงนี้แนะนำหุ้นปันผลดีที่มีเงื่อนไขแนวโน้มอัตราการจ่ายปันผลจะไม่ลดลง จากแนวโน้มธุรกิจที่แข็งแกร่งหรือไม่ถูกดิสรัปชั่นจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
ขณะที่ส่วนสำคัญในการเลือกหุ้นในตอนนี้คือราคาหุ้นต้องถูก ซึ่งเชื่อว่ายิ่งราคาลดลงมาต่ำมากๆยิ่งดี โดยเฉพาะหากเทียบกับอัตราส่วนกำไรต่อราคาต่อหุ้น(พี/อี) ต้องต่ำกว่าระดับ 10 เท่า (สำหรับบริษัททั่วไป) ส่วนบริษัทที่ดูโดดเด่นก็อาจสูงกว่านั้นได้เล็กน้อย เพราะคาดว่าปัจจุบันหุ้นที่มีค่าพี/อีสูงกว่าระดับ 30-40 เท่าน่าจะจบได้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นตกแรงๆคงจะใช้เวลาฟื้นตัวนาน เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่มักเลือกเทขายหุ้นที่ค่าพีอีสูงก่อนเสมอ
“เชื่อว่าหุ้นทุกตัวในสภาวะตลาดหมีแบบนี้จะมีค่าพี/อีสูงไม่ได้ ไม่งั้นจะถูกเทขายออกก่อนเป็นกลุ่มแรก ซึ่งมองว่ามันอยากมากที่จะควบคุมได้โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดหุ้นซบเซาหรืออารมณ์นักลงทุนแตกตื่นเหมือนในตอนนี้”
นายนิเวศน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันพอร์ตลงทุนส่วนตัวมีเงินสดเหลืออยู่ประมาณ 5% ซึ่งเตรียมรอไว้สำหรับช้อนซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงๆหรือผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยแนะนำสำหรับคนที่มีเงินอยู่ในมือเยอะๆช่วงนี้เป็นโอกาสเหมาะที่จะทยอยเข้าสะสมได้ แต่ต้องเน้นถือระยะยาวไม่ใช่ซื้อแล้วจะรอเด้งขึ้นในทันที
นอกจากนี้ นายนิเวศน์ กล่าวยอมรับว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) พอร์ตโดยรวมยังติดลบ เนื่องจากมีการทยอยซื้อหุ้นมาตั้งแต่ช่วงก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งเน้นในหุ้นปันผลและพื้นฐานที่ค่อนข้างดี จึงมั่นใจว่าให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
“วิกฤตในปัจจุบันแตกต่างกับวิกฤตในอดีต เพราะในอดีตพอรู้ว่าวิกฤตผ่านไปทุกอย่างจะกลับมาดีได้ แต่อันนี้เราไม่รู้ว่าวิกฤตผ่านไปอนาคตจะดีหรือเปล่า เพราะเศรษฐกิจและสังคมไทยเปลี่ยนไปมาก ซึ่งเราไม่ได้เติบโตโดดเด่นเหมือนเมื่อก่อน จึงต้องระมัดระวังการลงทุนให้มาก เพราะหากเข้าไปรับตอนดัชนีฯไม่สุดจริงๆมีจะความเสี่ยงมากกว่าแต่ก่อน”
นายวัชระ แก้วสว่าง หรือ "เสี่ยป๋อง" นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นอีกหนึ่งราย กล่าวว่าตอนนี้กลยุทธ์การลงทุนของตนเองนั่งรอช้อนซื้ออย่างเดียว เนื่องจากที่ผ่านมาเส้นสัญญาณกราฟทางเทคนิคมีการส่งสัญญาณเตือนตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมาและปัจจุบันยังไม่มีสัญญาณที่จะฟื้นตัว จึงทำให้ตอนนี้ทำได้เพียงรอจนกว่าแรงขายจะหมดเท่านั้น
ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมา โดยส่วนตัวได้ทยอยลดพอร์ตอย่างต่อเนื่อง โดยใช้วิธีการตัดขายหุ้นที่ยังมีสภาพคล่องออกมาทั้งหมด ขณะที่หุ้นที่ยังติดอยู่ก็ยังไม่ได้มีการขายออกมา เพราะทนถือรอจังหวะกลับมา อย่างไรก็ตามกลยุทธ์ช่วงนี้หันมาเน้นถือเงินสดให้ได้มากที่สุดเพื่อรอจังหวะพร้อมที่จะเข้าซื้อ ซึ่งส่งผลให้พอร์ตในปัจจุบันมีสัดส่วนเงินสดที่ถืออยู่กว่า 80-90%
“ตอนนี้เราไม่รู้แนวรับจะอยู่ระดับไหน ซึ่งก็คงทำได้แต่เพียงเฝ้ารอและหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน หรือคนที่มีเงินแล้วไม่รู้ไปทำอะไรก็อาจโยกเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำไปก่อน อย่างไรก็ตามใครมีเงินสดถือไว้แนะนำรอให้สุดก่อนแล้วค่อยซื้อ เพราะหุ้นขาลงมันจะมีจังหวะที่เด้งได้ตลอด ซึ่งสร้างความพินาศและโอกาสได้เสมอ”