ราคา ‘หน้ากากอนามัย’ ใครแก้ปัญหา?

ราคา ‘หน้ากากอนามัย’ ใครแก้ปัญหา?

สารพันปัญหา "หน้ากากอนามัย" ที่ยิ่งขายก็ยิ่งแพง ยิ่งอยากได้ก็ยิ่งไม่มี

หลังจากที่ประเทศไทยได้ถูกรุกรานจากไวรัส “โควิด-19” และ “ฝุ่น PM 2.5” มาสักพักใหญ่ ผู้คนก็วิ่งหาหน้ากากอนามัยมาเพื่อป้องกันตัวเองกันให้วุ่น ทำให้จากสินค้าที่มีราคาที่ประชาชนคนทั่วไปเอื้อมถึงและหาซื้อได้ง่าย กลับกลายเป็นสินค้าราคาแพงที่คน “พอจะมีเงินบ้าง” สามารถซื้อมาสวมใส่ได้แถมหายากอีกต่างหาก 

นี่ยังไม่นับรวมคุณภาพสินค้าที่มีหน้ากากอนามัยแบบแปลกๆ ออกมาขายเกลื่อนตลาด แปลกในที่นี้ไม่ได้หมายถึงลายพิเศษหรือวัสดุอลังการอะไร แต่ความแปลกกลับลายเป็น หน้ากากอนามัยมือสองใช้แล้ว หรือแม้กระทั่งหน้ากากอนามัยที่บางราวกับมุ้งกันยุง! 

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศสำนักงานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2563 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการปันส่วนหรือจำหน่ายหน้ากากอนามัย 

ข้อ 3 ให้ผู้ผลิต ตัวแทนจำหน่าย ในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ปันส่วนหน้ากากอนามัยไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของปริมาณการผลิต หรือปริมาณที่ครอบครอง แล้วแต่กรณี และจำหน่ายหน้ากากอนามัยจำนวนดังกล่าวให้แก่ศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยของกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ ในราคาไม่เกินชิ้นละสองบาท เพื่อบริหารจัดการให้เพียงพอต่อความต้องการ ภายในประเทศ

  • เธอราคาแพง เสมือนเธอไม่เคยขายถูกมาก่อน 

อันที่จริงเราอาจไม่สามารถระบุได้ว่า สิ่งใดถูกสิ่งใดแพงเพราะมุมมองของแต่ละคนไม่ต่างกัน แต่จากราคามาตรฐานที่ “เคย” ถูกวางขายในตลาด ก็ต้องยอมรับว่า หน้ากากอนามัยในปัจจุบันนี้มีราคาแพงขึ้นมาก เพราะเทียบราคาในตลาดก่อนหน้านี้

เมื่อเราสำรวจตลาดหน้ากากอนามัยก็จะพบว่า หน้ากากอนามัยช่วงก่อนหน้าที่ "ไวรัสโควิด-19" จะรุนแรงขึ้น หน้ากากอนามัยจะขายกล่องละ 150-300 บาท บรรจุ 50 ชิ้นต่อกล่อง เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ชิ้นละ 3-6 บาทเท่านั้น มาในวันนี้ ราคาต่ำสุดในตลาดอยู่ที่กล่องละ 650 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 13 บาทแล้ว ส่วนแพงที่สุดในบางเว็บอยู่ที่ 6,500 บาท บรรจุ 65 ชิ้น คิดเล่นๆ ก็ชิ้นละ 100 บาท เฮ้อ!  นี่ยังไม่รวมแบบอย่างดีนะ เพราะบางร้านก็ขายตกที่ชิ้นละ 125-130 บาทแน่ะ! และมีการสำรวจ

158314753129

แม้ใน พ.ร.บ. ราคาสินค้าและบริการจะกำหนดโทษจำคุกถึง 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาทหากจำหน่ายสูงเกินสมควร แต่ความโกลาหลในการหาหน้ากากอนามัยก็ไม่ได้สิ้นสุด เพราะยังมีข่าวการล่อซื้อหน้ากากอนามัยเกินราคาออกมาควบคู่กับราคาที่พุ่งสูงในเว็บไซต์ขายของออนไลน์อยู่เรื่อยๆ โดยมักจะตามมาด้วยปัญหาการโกง ไม่ส่งของ หรือส่งของไม่ตรงปกอีกมากมาย 

158314755121

และถึงแม้ว่า วิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จะออกมาบอกว่า กรมการค้าภายในได้ดำเนินการเร่งระดมเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์เพื่อช่วยบรรจุหน้ากากอนามัยใส่ถุง ถุงละ 4 ชิ้น ชิ้นละ 2.50 บาท ราคาถุงละ 10 บาท เพื่อนำไปกระจายให้ถึงมือประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงระบาดของไวรัสโควิด-19 ให้ได้มากที่สุด และได้เพิ่มการกระจายผ่านร้านสะดวกซื้อ 7-eleven, มินิ บิ๊กซี, โลตัส เอ็กซ์เพรส รวมแล้วกว่า 10,000 สาขาทั่วประเทศแล้วก็ตาม ทุกคนก็ได้แต่ยิ้มแห้ง เพราะยังไม่ทั่วถึงอยู่ดี

หากเทียบเคียงวิธีการแก้ปัญหาจากประเทศอื่นๆ อย่าง ที่รัฐบาลญี่ปุ่นสั่งให้โรงงานผู้ผลิตเร่งกำลังการผลิตหน้ากากอนามัยออกมาจำหน่ายให้ต่อเนื่องไม่อั้น โดยถ้ามีการผลิตออกมาแล้วเกินอุปสงค์ รัฐบาลสัญญาว่าจะรับซื้อหน้ากากอนามัยเหล่านั้นให้หมด 

ในขณะที่ทางการเกาหลี ก็มีนโยบายกระจายหน้ากากอนามัยไปจำหน่ายที่ไปรษณีย์ต่างๆ กว่า 1,400 สาขาในราคาถูกกว่าตลาด จัดการยึดหน้ากากอนามัยที่กำลังจะถูกขนส่งออกไปขายต่างประเทศโดยควบคุมไม่ให้มีการส่งออกไปขายเกิน 10% ของหน้ากากอนามัยที่ผลิตได้แต่ละวัน รวมถึงให้ตำรวจคุมเข้มเรื่องการกว้านซื้อหน้ากากอนามัยไปขายเกินราคาในตลาด  หรือแม้ประเทศเพื่อบ้านอาเซียนอย่างสิงคโปร์ รัฐบาลก็แก้ไขปัญหาโดยการแจกหน้ากากมาตั้งแต่เนิ่นๆ

ความสามารถในการบริหารจัดการประเทศเมื่อเกิดเหตุวิกฤติไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม สะท้อนออกมาได้ส่วนหนึ่งจากปัญหาและความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในยามที่ประเทศกำลังขาดแคลนหน้ากากอนามัยอย่างหนัก 

และมันก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจไม่น้อยที่วิธีการแก้ปัญหาที่ประชาชนผู้เสียภาษีอย่างเราๆ ได้รับนั้นมักจะเป็นการแก้ปัญหาจำพวกการให้คำมั่นสัญญา การนำมาขายเอง หรือแม้แต่การปล่อยไปให้ผู้ค้ารายใหญ่ขายให้ แม้มันจะไม่ใช่วิธีการที่ผิด แต่ถ้าหากหน้ากากอนามัยเหล่านั้นตกมาถึงมือประชาชนบ้างก็คงจะไม่มีใครว่าอะไร 

แต่คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าผลมันกลับตาลปัตรเป็นตรงข้ามไปหมด เพราะทุกวันนี้หากลองป้อนคำว่า “หน้ากากอนามัย” เข้าไปในช่องค้นหาไม่ว่าจะเว็บไซต์ใดๆ ก็มักจะพบคีย์​เวิร์ดทำนองว่า “หน้ากากอนามัยราคาแพง” หรือ “หาซื้อหน้ากากอนามัยไม่ได้เลย” อยู่เป็นประจำ

รวมถึงสิ่งที่น่าเศร้ามากไปกว่านั้นคือ ปัญหาหน้ากากอนามัยเหล่านี้อันที่จริงแล้วก็เกิดมาตั้งแต่ช่วงที่มีเพียงปัญหาฝุ่น และมาทวีคูณขึ้นในช่วงไวรัสโคโรน่า รวมระยะเวลาแล้วก็คงไม่ต่ำกว่า 3 เดือน และคงจะเป็นปัญหาต่อเนื่องออกไปอีกสักระยะหนึ่ง 

ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ใครกันแน่ ที่จะสามารถตอบให้ได้ว่า เราจะต้องทนอยู่กับปัญหานี้ไปอีกนานแค่ไหนดี?