'ธนาธร' กางแผนคณะอนาคตใหม่
“อุดมการณ์เดียวกัน แต่เดินคนละเส้นทาง” เสวนาสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ "ธนาธร" กางแผนคณะอนาคตใหม่ "พิธา" ย้ำสู้เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือพรรคใหม่
วันที่ 6 มีนาคม 2563 ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้รับเชิญมาพูดคุยในหัวข้อ “After Future Forward: What now for the opposition in Thailand? หลังจากอนาคตใหม่ : จะเกิดอะไรขึ้นกับฝ่ายค้านในประเทศไทย”
โดยนายธนาธรได้เริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า พรรคอนาคตใหม่ได้รับคะแนน 6.3 ล้านเสียงในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ได้มีผู้แทนราษฎร 81 ที่ แต่โดนยุบโดยคนเพียงเจ็ดคนเท่านั้น แต่พรรคอนาคตใหม่เปรียบเสมือนยานพาหนะ สำหรับผู้คนที่ไม่ยอมจำนนอีกต่อไป ยานพาหนะสำหรับผู้คนที่รู้ว่าหากปราศจากการแทรกแซงของสิ่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ประเทศไทยจะเป็นสถานที่ที่ดีกว่านี้ได้ และเป็นสังคมที่เท่าเทียมกันสำหรับทุกคน พรรคอนาคตใหม่เป็นยานพาหนะสำหรับผู้ที่พร้อมที่จะต่อสู้เพราะพวกเขารู้ว่าอนาคตของลูกหลานของพวกเขาอยู่ที่นี่และตอนนี้
คำตัดสินของศาลที่ยุบพรรคทำให้ยานพาหนะนี้พังไป แต่อย่างไรก็ตาม ผู้คนยังเดินทางกันต่อ ไปสู่เป้าหมายที่มีร่วมกันอย่างไม่ยอมจำนน ต่อให้ผู้มีอำนาจอาจคิดว่าการยุบพรรคเป็นคำตอบสำหรับการทำลายผู้เห็นต่าง เราจะพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขานั้นคิดผิด ครั้งนี้มันจะแตกต่าง นี่เป็นเพียงแค่ตอนจบของบทที่หนึ่งเท่านั้น บทที่สองเพิ่งได้เริ่มขึ้น
นายธนาธร ได้กล่าวว่า “ในตอนนี้ผมไม่ได้มีส่วนร่วมกับพรรคการเมืองใดๆ แล้ว ทำให้ไม่มีอำนาจในการออกกฎหมายอีกต่อไป แต่ด้านดีคือ ในขณะเดียวกันผมก็ได้ถูกปลดปล่อยจากกฎเกณฑ์ ข้อจำกัดต่างๆ ของการเป็นพรรคการเมือง ตอนนี้ผมเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระมากขึ้น ดังนั้น ผมขอประกาศการเกิดขึ้นของคณะอนาคตใหม่ ซึ่งไม่ใช่องค์กร แต่เป็นเครือข่ายของผู้ที่มีความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน เริ่มต้นจากประชาชนมากกว่าหกหมื่นคนที่เคยเป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ และจะรวบรวมมวลชนมากขึ้นไปยิ่งขึ้น ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ทุกคนที่ไม่ยอมจำนนต่ออำนาจเผด็จการ ทุกคนที่ต้องการทำให้สังคมนี้เป็นประชาธิปไตยและมีความเท่าเทียมมากขึ้น เรามั่นคงในการเดินทางของเราไปสู่จุดหมายปลายทางที่ใช้ร่วมกันผ่านยานพาหนะใหม่ ทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย กระจายอำนาจ และไม่ให้กองทัพมายุ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการประเทศ”
คณะอนาคตใหม่มี 3 หน้าที่หลัก หนึ่งคือการเลือกตั้งท้องถิ่นที่กำลังจะมาถึง การเมืองท้องถิ่นในประเทศไทยที่ผ่านมาถูกครอบงำโดยตระกูลใหญ่เพียงไม่กี่ตระกูลที่มีเงินและอิทธิพล ซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนการทำรัฐประหาร โดยธนาธรกล่าวว่า คณะอนาคตใหม่เชื่อว่าด้วยนโยบาย ความมุ่งมั่น จุดยืนที่แข็งแกร่งต่อการต่อต้านการซื้อเสียงและการใช้เงินกำหนดผลลัพธ์ และด้วยการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เราจะสามารถนำความสดใหม่มาสู่การเมืองท้องถิ่นได้ ในแบบเดียวกับที่เราได้ทำกับการเมืองในระดับชาติ สิ่งที่เราวางแผนที่จะบรรลุในการเมืองท้องถิ่นคือเราคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้นักการเมืองท้องถิ่นจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำการเมือง พวกเขาจะต้องปรับตัว มิเช่นนั้นจะกลายเป็นผู้ที่ล้าหลัง
ภารกิจที่สองของคณะอนาคตใหม่คือเราเชื่อว่าความคิดสร้างสรรค์นั้นย่อมชนะควันปืน บัตรเลือกตั้งย่อมชนะลูกกระสุน เราจะเดินหน้ารณรงค์ต่อไปอย่างเต็มที่ ในทุกช่องทาง ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ ออนแอร์ ออนกราวด์ นี่เป็นการต่อสู้ทางความคิด เอาความหวังมาสู้กับความกลัว ประชาธิปไตยกับอำนาจนิยม คนรวยกับคนที่เหลือในสังคม อนาคตสู้กับอดีต เมื่อใดที่เราสามารถชนะศึกทางความคิดได้ เราก็จะชนะศึกอื่นๆ ได้ เมื่อนั้นการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นจริง
ภารกิจที่สาม คือสร้างเครือข่ายของผู้คนครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย เครือข่ายของผู้คนที่พร้อมจะต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ประเทศไทยเราต้องการเครือข่ายประชาชนที่แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานพลังของรัฐบาลทหาร
สรุปสามภารกิจของคณะอนาคตใหม่ - เปลี่ยนภูมิทัศน์ของการเมืองท้องถิ่น ผลักดันขอบเขตของการต่อสู้ของความคิด และสร้างเครือข่ายผู้คนเพื่อต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ธนาธรกล่าวว่า นี่คือเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว หากเราล้มเหลวเราก็จะไม่รู้ว่าเมื่อไรโอกาสเช่นนี้จะเกิดขึ้นอีก
นายธนาธร ยกตัวอย่างว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เราได้เปิดโปงหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ากองทัพได้ดำเนินปฏิบัติการข่าวสาร หรือ IO กับฝ่ายค้านและประชาชนที่คัดค้านการปกครองของรัฐบาลทหาร สาระสำคัญมันคือการปฏิบัติการทางทหารที่สนับสนุนโดยรัฐบาลโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเกลียดชังเข้าสู่สังคมโดยใช้ข้อมูลที่ผิดและเต็มไปด้วยำพูดที่สร้างความเกลียดชังหรือ hate speech จากข้อมูลลับที่เราได้รับมานั้น เราคำนวณว่ามีนายทหารหลายพันคนในแต่ละวัน ทำงานเพื่อส่งข่าวปลอมและคำพูดแสดงความเกลียดชังเพื่อสร้างความเสื่อมเสียแก่เราในทุกช่องทางโซเชียลมีเดีย หากคุณสงสัยว่าทำไมคนไทยที่มีมุมมองทางการเมืองต่างกันถึงเกลียดกันมากขนาดนี้ ตอนนี้เรารู้แล้ว ตอนนี้เรามีคำตอบ ผมขอน้ำว่ามันเป็นเพราะความเกลียดชังไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่มันถูกผลิตขึ้นอย่างเป็นระบบและจงใจ จากคนบางกลุ่ม
“นอกจากนั้น มีหลายคนพยายามกล่าวหาว่าผมเป็นปลุกปั่นให้นักศึกษาออกมาชุมนุม ผมขอยืนยันว่าผมไม่ได้มีส่วนร่วมใดๆ และผมยังอยากบอกว่าหากเราดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความล้มเหลวของการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล การจัดการเรื่อง Covid-19 หรือปัญหาฝุ่น PM2.5 หากจะหาว่าใครอยู่เบื้องหลังการออกมาเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา ผมตอบได้เลยว่าคงไม่มีใครอยู่เบื้องหลังการออกมาเคลื่อนไหวนอกจากตัวพลเอกประยุทธ์เอง” ธนาธรกล่าวสรุป
หลังจากนั้นพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้ย้ำในฐานะตัวแทน ส.ส. ที่กำลังจะไปพรรคใหม่ว่ายังคงมุ่งหวังที่จะนำประเทศไทยไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่ยุติธรรม เท่าเทียมกันและนำประเทศหันหน้าเข้ามาหากันเพื่อรับมือความท้าทายของยุคสมัยนี้ ซึ่งคือปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น การถดถอยของประชาธิปไตย และภาวะโลกร้อน โดยพิธาชี้ว่าความยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรคแสดงออกผ่านร่าง พ.ร.บ. ที่พรรคอนาคตใหม่ได้ยื่นไปแล้ว และที่พรรคใหม่ของเราจะส่งไปเข้าไปในสภาเพิ่มอีก
พ.ร.บ.แรกที่ยื่นเข้าไปแล้วคือยกเลิกคำสั่ง คสช. 17 ฉบับ
พ.ร.บ.ที่สองคือคุ้มครองแรงงาน เพิ่มวันลาคลอด เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำตามดัชนีราคาผู้บริโภคหรือ CPI
สามคือร่าง พ.ร.บ. รับราชการทหาร สร้างกองทัพทันสมัย ยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหาร เปลี่ยนเป็นสมัครแข่งขัน เพิ่มสวัสดิการ ฝึกรบจริงจัง ไม่ไปรับใช้ที่บ้านนายพล
สี่คือ พ.ร.บ. สุราก้าวหน้า ปลดล็อกผูกขาดสุราจากไม่กี่เจ้า ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยลืมตาอ้าปาก ปลดปล่อยศักยภาพผลผลิตท้องถิ่น
และสิ่งที่เรากำลังจะผลักดันต่อไปคือ Clean Air Act หรือ พ.ร.บ. อากาศสะอาด ที่จะแก้ปัญหามลพิษรวมถึงวิกฤต PM2.5 ได้อย่างแท้จริงเสียที
โดยนายพิธา ได้เล่าประสบการ์ให้ฟังว่า ตนเคยได้เชิญอธิบดีกรมควบคุมมลพิษมาชี้แจ้งเรื่อง PM 2.5 ที่กรรมาธิการ รู้สึกเห็นใจกรมควบคุมมลพิษเป็นอย่างมากที่ต้องแบกรับปัญหาระดับวาระแห่งชาตินี้แต่ไม่มีอำนาจที่จะแก้ปัญหาได้ เพราะโครงสร้างบริหาร และงบประมาณไม่เอื้ออำนวย ปัญหามลพิษเกิดจากหลายสาเหตุแต่กรมควบคุมมลพิษไม่สามารถทำอะไรได้ อาทิเช่น เมื่อพูดเรื่องการเผา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษชี้แจงว่าเป็นอำนาจของกระทรวงเกษตร มหาดไทย เมื่อพูดเรื่องโรงงาน ท่านพูดถึงกระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อพูดเรื่องคมนาคม ท่านก็ต้องพูดถึงกระทรวงคมนาคม เมื่อมีไฟป่าจากการเผาที่อินโดนีเซีย พม่า กัมพูชา ท่านก็ต้องพูดถึง กระทรวงการต่างประเทศ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือต้องแก้อย่างบูรณาการ และให้อำนาจแก่หน่วยงานที่สมควรได้รับ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ในระยะสั้น กลาง ยาว ได้อย่างทันท่วงที
นายพิธา ชี้แจงว่า นอกเหนือจากการยื่น พ.ร.บ. ต่างๆ นั้น ยังมีการทำงานผ่านกรรมาธิกาหลายคณะในสภา ซึ่งพรรคของเราเป็นประธานและมีส่วนร่วม เรากำลังผลักดันการหยุดยั้งการขับไล่ที่ดินอย่างไร้มนุษยธรรม ให้ความยุติธรรมในที่ดินทำกิน ต่อสู้เพื่อสิทธิของชุมชนท้องถิ่นและชนพื้นเมืองให้มีทรัพยากรกร หยุดยั้งอุตสาหกรรมและเหมืองแร่ที่เป็นมลพิษต่อประเทศของเรา รวมถึงปกป้องสิทธิมนุษยชน เสรีภาพในการแสดงออกเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ประท้วงและนักศึกษาจะมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง โดยต้องไม่เผชิญกับการดำเนินการที่ไม่ยุติธรรม
“แม้ว่าสภาจะเพิ่งปิดสมัยประชุมไป แต่พรรคใหม่ของเราก็เริ่มทำงานอย่างหนักเพื่อรับมือกับความท้าทายมากมายที่ประเทศกำลังเผชิญแต่รัฐบาลไม่สามารถรับมือได้ เช่นวิกฤติภัยแล้งที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 40 ปี การระบาดของ Covid-19 การชุมนุมประท้วงของนักเรียนที่ได้เกิดขึ้นแล้ว และยังมีวิกฤตมลพิษของ PM2.5
พวกเราจะส่งเสียงแทนผู้ที่ไม่มีปากมีเสียงในสังคม เราจะเป็นความหวังให้ผู้คนที่หมดหวังในสังคมนี้ ไม่ว่าคุณจะชอบการเมืองฝั่งไหนก็ตาม มันเป็นสามัญสำนึกว่าค่าแรงขั้นต่ำควรเพียงพอสำหรับเลี้ยงชีพ มันคือสามัญสำนึก ว่าคนรวยที่สุดในประเทศนี้ไม่ควรเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกับเกษตรกรที่มีรายได้เพียงไม่กี่บาทต่อปี พวกเราเชื่อว่าประเทศไทยควรกลับไปใช้ความรู้สึกร่วมกันเหล่านี้เพื่อทำให้คนเท่าเทียมกัน และนำประเทศหันหน้าเข้าหากันเพื่อช่วยกับรับมือกับความท้าทายของยุคสมัยนี้” พิธากล่าวสรุป
โดยก่อนจบงานมีผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีชื่อพรรคและชื่อของหัวหน้าพรรคใหม่ พิธาได้ตอบว่าขอให้รอฟังพร้อมกันวันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคมนี้ ที่ศูนย์ประสานงานอดีตพรรคอนาคตใหม่ ฝั่งธนบุรี เวลา 11:00 น. เป็นต้นไป