‘บอย’ ยันไม่มีการซื้อขายหน้ากาก 200 ล้านชิ้นให้จีน ไม่รู้จักรมต.-คนติดตาม
"บอย-ศรสุวีร์" อ้างคลิปเก่าตั้งแต่ต้นปี ระบุไม่มีการซื้อขาย "หน้ากากอนามัย" 200 ล้านชิ้นกับจีน อ้างทำไปเพราะอาชีพนายหน้า ยันไม่รู้จัก "รัฐมนตรี-คนติดตาม" แค่ขอถ่ายรูปสร้างความน่าเชื่อถือ
เมื่อวันที่ 9 มี.ค.63 นายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือ บอย ที่แอบอ้างคนสนิทผู้ติดตาม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งเป็นบุคคลตามคลิปที่อ้างว่ามีการกักตุนหน้าอนามัยจำนวน 200 ล้านชิ้น มาสอบปากคำที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเปิดเผยหลังถูกตำรวจสอบปากคำประมาณ 30 นาที ยอมรับว่าคลิปดังกล่าวที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลเป็นคลิปเก่าตั้งแต่ต้นปี ซึ่งขณะนั้นหน้ากากอนามัยยังไม่ขาดขาดแคลน ตนเองมีอาชีพเป็นนายหน้า ต้องการสร้างความเชื่อมั่นในการซื้อขายสินค้า จึงได้ตระเวนไปถ่ายภาพและสร้างภาพลักษณ์ ตามโรงงานต่างๆ รวมทั้งการโฆษณาเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจ ทั้งในเรื่องของราคา และ ผลิตภัณฑ์ เนื่องจากเป็นวิธีการของกลุ่มนายหน้าที่ต้องการขายสินค้าแม้สินค้าจะไม่มีอยู่จริง ภายหลังการโฆษณาไม่มีลูกค้าสั่งสินค้ามาแต่อย่างใด โดยยืนยันว่าไม่มีสินค้าตามที่กล่าวอ้าง
ส่วนกรณีที่มีการแชร์ข้อมูลว่าตนเองมีการซื้อ-ขาย และ ส่งหน้ากากอนามัยให้กับทางการจีน นั้น นายศรสุวีร์ ยืนยืนว่าไม่มีการซื้อขายหน้ากากอนามัยกับทางการจีน แต่ยอมรับว่ามีการเดินทางไปประเทศจีนบ้างบางครั้ง ไม่เกี่ยวกับหน้ากากอนามัยแต่อย่างใด
สำหรับกรณีที่มีปรากฎภาพนั่งกับคนติดตาม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายศรสุวีร์ ระบุว่า ไม่รู้จักกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่อย่างใด ส่วน คนติดตาม รัฐมนตรีฯนั้นตนเองไม่ทราบว่ามีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก กินข้าว ดื่มด้วยกัน จึงขอถ่ายรูปเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเอง พร้อมอ้างว่ามีการพูดคุยกันจริงแต่ไม่มีการซื้อขายหน้ากากอนามัย
ขณะที่พล.ต.อ.สุวัตน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า การเชิญตัวนายนายศรสุวีร์ มาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น เป็นการเรียกมาเพื่อให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่เพียงเท่านั้น ยังไม่ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ซึ่งจะต้องรอผลการตรวจค้น 6 จุด ที่กทม.และปริมณฑล ทั้งที่บ้านนายศรสุวีร์ และโรงงานที่ไลฟ์สด ว่าจะมีความผิดหรือไม่ ส่วนจะมีความผิดเกี่ยวกับพรบ.คอมฯ หรือไม่นั้นให้ตำรวจกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. เป็นผู้ตรวจสอบต่อไป
ทั้งนี้ มีรายงานว่า กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยี หรือ บก.ปอท.ได้แจ้งข้อหา มีความผิดตามพรบคอมพิวเตอร์ ฐานนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบ