'รายได้' หด 'หนี้สิน' เห่อ บริหารยังไงให้รอดในวิกฤติ COVID-19
เปิดเคล็ดไม่ลับจัดการหนี้สินที่สวนทางรายได้ที่หดตัว พร้อมแนวทางลงทุนฝ่าวิกฤติ ช่วงโควิด-19 ระบาด ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว
นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ปี 2020 ปฏิเสธไม่ได้ว่าแรงกระแทกจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สถานการณ์ "COVID-19" ยากจะคาดเดา เริ่มส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่ "รายได้" ไม่ว่าจะเป็นภาคภาคการท่องเที่ยว ภาคบริการ ภาคธุรกิจ ลากยาวไปถึงภาคการผลิตบางส่วน
ผู้ที่ประกอบอาชีพที่เกี่ยวกับข้องจำนวนมากต้องถูกเลื่อนงานหรือยกเลิกโดยไม่มีกำหนด ซึ่งกระทบต่อรายได้ในแต่ละเดือน โดยเฉพาะคนทำงานกลุ่ม Gig Economy (ลักษณะการทำงานที่ไม่ใช่งานประจำ)
เมื่อ "รายได้หด" แต่ "ค่าใช้จ่าย" และ "หนี้สิน" ยังต่อคิวรอเป็นหางว่าว โดยไม่รู้ว่ากำหนดที่แน่นอนว่าสถานการณ์นี้จะจบลงเมื่อไหร่ สิ่งที่ต้องทำคือ "บริหารจัดการเงินให้สอดคล้องหนี้สิน" เพื่อฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้
จักรพงษ์ เมษพันธ์ The Money Coach ให้คำแนะนำ การบริหารจัดการเงินและการลงทุนในช่วงปี 2020 พาดผ่านวิกฤติโควิด-19 ในไตรมาส 1 นี้ ประกอบไปด้วย 4 เรื่องที่ควรให้ความสำคัญ และต้องลงมือก่อนจะสาย ได้แก่
1. จัดการหนี้เก่า
2. ชะลอการก่อหนี้ใหม่
3. ควบคุมรายจ่าย
4. ลงทุนอย่างระมัดระวัง เพื่อเปิดรับโอกาสในอนาคต
1. จัดการหนี้เก่า
ในกรณีที่มีหนี้ที่จำเป็นต้องจ่ายเป็นประจำทุกเดือน แต่กลับมีรายได้ลดลง ขาดรายได้ หรืออยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถผ่อนชำระได้ไหวเนื่องจากสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ควรวางแผนการจ่ายหนี้ให้เรียบร้อยก่อนจะกลายเป็นหนี้เสีย
“คนที่จ่ายไม่ไหวจริงๆ แนะนำให้ทำวิธีที่ง่ายที่สุดคือการเจรจากับคู่สัญญาของคุณ อย่าคิดเอง อย่าหลบ อย่าเลี่ยง” จักรพงษ์ กล่าว
กรณีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโคโรน่าไวรัส ปัจจุบันมีมาตรการต่างๆ จากภาครัฐ และเอกชนออกมาช่วยเหลือพอสมควร ใครที่อยู่ในข่ายที่จะได้รับการช่วยเหลือก็สามารถใช้โอกาสตรงนั้นเพื่อลดภาระได้
แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในข่ายความช่วยเหลือก็สามารถพูดคุยเจรจาการจ่ายหนี้เพื่อลดภาระหนี้ชั่วขณะได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย พักจ่ายเงินต้นไว้ชั่วคราวซึ่งจะช่วยเบาภาระการผ่อนเงินก้อนใหญ่ๆ ได้ หรืออาจขอเจรจาแบบตรงไปตรงมาว่าขอหยุดชำระชั่วคราวระยะสั้น 3-6 เดือน โดยอาจจะต้องแสดงข้อมูลทางการเงินว่ารายรับรายจ่ายของเราลดลงจนไม่มีศักยภาพที่จะชำระได้ตรงตามเวลาจริง หากสมเหตุสมผล แบงก์ก็อาจจะพิจารณาให้เพื่อแบ่งเบาภาระในช่วงนี้
โดย จักรพงษ์ อธิบายว่า การเจรจาพักชำระหนี้ หรือลดยอดชำระหนี้ก้อนใหญ่ๆ อย่างสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ จะเป็นทางรอดที่เห็นผลได้ชัดเจนกว่า เมื่อเทียบกับการลดรายจ่ายเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม หากมีการเจรจาหนี้แนะนำให้เจรจาในระยะยาวไว้ก่อน เพราะไม่มีใครรู้ว่าวิกฤติลากยาวไปถึงไตรมาสที่ 2 หรือ 3 หรือมากกว่านั้น หากสภาวะทางการเงินกลับมาเป็นปกติเร็วกว่าที่คาดค่อยยกเลิกในภายใน
ทั้งนี้ หากเจรจาไว้ครบกำหนดแล้ว แต่สถานการณ์กลับแย่ลง อาจต้องพิจารณากันที่ปลายทางในมิติอื่นๆ เช่น กรณีที่รายได้ไม่กลับมาเลย อาจจะต้องพิจารณาขายทรัพย์สินเดิมๆ ที่มีอยู่ เช่น หุ้น กองทุน เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต หรืออาจจะต้องดึงเงินสำรองฉุกเฉินมาใช้ในสถานการณ์แบบนี้ระหว่างที่กำลังหารายได้เพิ่มด้วย
"การสร้างรายจ่ายถาวร ในสภาวะที่รายได้ไม่ถาวรหรือรายรับสั่นคลอนเป็นเรื่องที่อันตราย"
2. ชะลอการก่อหนี้ใหม่
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ จะลุกลามในวงกว้างกว่าที่คาด หากเปรียบเทียบกับปี 2540 พอที่จะเห็นสัญญาณเศรษฐกิจแย่จากการที่ธนาคารมีปัญหา แต่สำหรับโรคระบาดในครั้งนี้ ยากที่จะคาดเดาว่าจะเกิดขึ้นสั้นหรือยาวแค่ไหน
ดังนั้น หากคิดจะสร้างอะไรใหม่ๆ ที่จำเป็นต้องมีภาระหนี้สินตามมา อาจจะต้องเลื่อนออกไปก่อน เช่น ซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือสร้างหนี้ก้อนใหญ่ จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หรือพิจารณาให้รอบคอบก่อน ถ้าสิ่งที่กำลังจะซื้อไม่จำเป็นจริงๆ ณ เวลานี้ ก็อย่าเพิ่งรีบซื้อเพราะการสร้างรายจ่ายถาวรในสภาวะที่รายได้ไม่ถาวร หรือรายรับสั่นคลอนเป็นเรื่องที่อันตราย
คนส่วนใหญ่อาจไม่ให้ความสำคัญ และไม่อยากจะเก็บเงินสดสำรองไว้ แต่สภาวะแบบนี้จะได้เห็นว่า “เงินสำรอง” มีความสำคัญแค่ไหน
3. ควบคุมรายจ่าย
การควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม คือวิธีจัดการเงินสุดเบสิกที่ยังได้ผลดี ในภาวะวิกฤติเช่นนี้เป็นช่วงที่ต้องจัดการเงินสำหรับส่วนที่จำเป็นและส่วนที่ไม่จำเป็นให้ได้อย่างชัดเจนเพื่อควบคุมให้ดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างราบรื่น
“สถานการณ์แบบนี้ช่วยให้เราเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นว่า อันไหนคือ need อันไหนคือ want”
สำหรับรายจ่ายที่จำเป็นและต้องให้ความสำคัญก่อน เช่น การค่ากินอยู่ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการศึกษาของลูก จะต้องถูกจัดสรรไว้เป็นอันดับแรกเมื่อมีรายได้ แล้วค่อยปรับลดค่าใช่จ่ายส่วนอื่นๆ ที่จำเป็นน้อยกว่าลง เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในแต่ละเดือนมากขึ้น หรือถ้าเป็นไปได้ในช่วงนี้ก็ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปเลย
4. ลงทุนอย่างระมัดระวัง เพื่อเปิดรับโอกาสในอนาคต
จักรพงษ์ อธิบายว่า สภาวะที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นวัฏจักรวงรอบช่วงเศรษฐกิจที่มักจะมีขาขึ้นขาลงเป็นปกติ แม้จะดูน่ากลัว แต่อย่ากลัวจนถึงขั้นไม่ลงทุนเลย หรือไม่ใช้จ่ายเลย เพราะว่าในช่วงเวลาที่คนอื่นกำลังกลัว เราอาจปันบางส่วนใส่ไว้ในการลงทุนบ้าง เพราะหลายครั้งจะเห็นว่าเมื่อเศรษฐกิจกลับมา เพราะคนที่ยังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาแบบนี้ก็มักจะได้ผลลัพธ์ ในช่วงที่เศรษฐกิจกลับคืนมาค่อนข้างดีเสมอ
“ตระหนักได้ แต่อย่าตระหนก อย่ากลัวถึงขั้นไม่ลงทุน หรือ ไม่ใช้จ่ายเลย”
อย่างไรก็ตามการลงทุนในช่วงนี้ ควรลงทุนบนความระมัดระวัง สำหรับคนที่ลงทุนแบบทยอยลงทุนในระยะยาว DCA (Dollar Cost Average) เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุน SSF ที่กำลังจะเปิดให้ลงทุน 1 เมษายน 2563 รวมถึง LTF/RMF หรือการลงทุนใดๆ ก็ตามเป็นการลงทุนอย่างต่อเนื่อง หลักการคือการทยอยลงทุนทีละน้อย สถานการณ์แบบนี้มีความจำเป็นที่ต้องลงทุนต่อไป หากเป็นการลงทุนในระยะยาวไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของหุ้นมากนัก เพราะว่าระยะยาว หุ้นจะมีการปรับตัวกลับมาอยู่เสมอ ฉะนั้น คนที่ลงทุนต่อเนื่องจะได้รับหน่วยลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อทยอยลงทุนต่อเนื่องแม้ในช่วงวิกฤติ
“การลงทุนระยะยาวอย่างต่อเนื่อง ผู้ลงทุนจะได้รับหน่วยลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นในสภาวะแบบนี้”
แต่ในกรณีที่มีการลงทุนแบบใช้เงินก้อน หรือซื้อหุ้นรายตัว ช่วงนี้ต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ให้มากขึ้น หากรู้สึกกลัวก็อาจปรับลดการลงทุนได้บ้าง ส่วนคนที่ไม่กลัวความเสี่ยงก็ต้องลงทุนอย่างระมัดระวังกว่าปกติ เพราะดัชนีที่ 1,200 จุด ไม่ได้หมายความว่าซื้อหุ้นได้ทุกตัว หรือหุ้นราคาถูกทุกตัวเพราะยังมีหุ้นบางตัวที่ยังถือว่ามีราคาแพงเกินไป ฉะนั้น ก่อนที่จะลงทุนเพื่อรับโอกาสในช่วงหุ้นร่วงอย่ามองแค่ผลตอบแทน แต่ต้องระมัดระวัง ศึกษาให้เข้าใจ และสอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนของตัวเองด้วย
ก่อนที่จะลงทุนเพื่อรับโอกาสในช่วงหุ้นร่วงอย่ามองแค่ผลตอบแทน แต่ต้องระมัดระวัง ศึกษาให้เข้าใจ และสอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนของตัวเองด้วย