ศาลอาญา รับฟ้องคดี 'ช่อ' แถลงหมิ่น 'มาดามเดียร์' ปมหุ้นสื่อ
ศาลนัดสอบคำให้การ "ช่อ พรรณิการ์" อดีตโฆษกอนาคตใหม่ 20 เม.ย. หลังศาลสั่งประทับรับฟ้องคดี
เมื่อวันที่ 11 มี.ค.63 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลได้อ่านคำสั่งในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีหมายเลขดำ อ.3095/2562 น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี หรือมาดามเดียร์ อายุ 35 ปี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มอบอำนาจให้ทนายความ ยื่นฟ้อง น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือช่อ อายุ 31 ปี อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อและอดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท และหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328
โดยคดีนี้ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 21 พ.ย.62 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 18 พ.ย.62 จำเลยจัดแถลงข่าวที่ทำการพรรคอนาคตใหม่ มีสื่อมวลชนทั้งหนังสือพิมพ์ ทีวี และช่างภาพจำนวนมากร่วมรับฟังการแถลงข่าวของจำเลย สู่การเผยแพร่และการรับรู้ของประชาชนซึ่งการแถลงข่าวข้อความตอนหนึ่งของจำเลย ระบุทำนองว่า พรรคอนาคตใหม่มีประเด็นที่ต้องจับตาและต้องทวงถามต่อสื่อบางเจ้าเป็นประเด็นสำคัญที่ไม่ได้กระทบต่อพรรคอนาคตใหม่เท่านั้น แต่กระทบต่อประชาชนที่รับรู้ข้อมูลข่าวสารอยู่ในชีวิตประจำวันฯลฯ และข้อความทำนองว่า ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
สภาพการเมืองไทยมีประเด็นหนึ่ง ประเด็นร้อนแรงจนทำให้เกิดการถกเถียงในสังคมในคือ การเป็นเจ้าของสื่อของนักการเมืองตามเจตนารมณ์ของ รธน. ปี 2560 ห้ามไม่ให้ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งถือครองหุ้นสื่อ โดยเจตนารมณ์ของ รธน. ก็คือไม่ต้องการให้นักการเมืองครอบครองสื่อเพื่อใช้สื่อนั้นเป็นประโยชน์แก่ตนเอง และเป็นโทษแก่ผู้ที่เป็นศัตรูต่อนักการเมืองผู้ถือหุ้นดังกล่าว แต่ในประเทศไทยมีกรณีที่นักการเมืองมีความเกี่ยวพันเป็นเจ้าของสื่อที่ชัดเจนปรากฏและทราบกันดี แต่ไม่สามารถดำเนินตามกฎหมายกับนักการเมืองผู้นั้นได้เนื่องจากนักการเมืองคนนั้น คือน.ส.วทันยา เป็น ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้บริหารของเครือเนชั่น และให้ผู้ที่เป็นสามี คุณฉาย บุนนาค ดำรงตำแหน่งผู้บริหารของเนชั่นแทน
เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามว่าในขณะที่การถือครองหุ้นสื่อของ ส.ส.จำนวนหลาย 10 คน ในสภา กลายเป็นคดีความเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพียงเพราะใบบริคณห์สนธิ ระบุว่า กิจการที่เขาถือนั้นสามารถทำสื่อได้ด้วยฯลฯ และข้อความอื่นๆ ซึ่งทำให้ประชาชนทั่วไปที่ได้รับรู้การแถลงข่าวของจำเลยจากการเผยแพร่ของสื่อมวลชน จะเข้าใจว่าโจทก์เป็น ส.ส.พรรค พปชร.กระทำการอันเป็นการขัดต่อ รธน.โดยเป็นนักการเมืองที่มีความเกี่ยวพันเป็นเจ้าของสื่อแต่ไม่สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้เนื่องจากโจทก์ลาออกจากตำแหน่งผู้บริหาร
โดยให้ผู้เป็นสามีบริหารแทน และการที่คู่สมรสเป็นผู้บริหารสื่อ เป็นผู้มีอำนาจอิทธิพลในสื่อ เป็นการใช้สื่อเป็นคุณกับตนเองและเป็นโทษแก่ฝ่ายตรงข้าม สื่อเนชั่นถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของโจทก์อย่างชัดแจ้ง ซึ่งการแถลงข่าวนั้นเป็นความเท็จทั้งสิ้น โดยโจทก์ไม่เคยดำรงตำแหน่งบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ที่เป็นผู้ให้บริการสถานีทีวีดิจิตอล ช่อง 22 และไม่เคยเป็นผู้บริหารบริษัทในเครือของสื่อกลุ่มเนชั่นแต่อย่างใด และสามีโจทก์ไม่เคยกระทำการใด ไม่ว่าโดยตรงหรือทางอ้อมอันเป็นการขัดขวางหรือแทรกแซงการใช้สิทธิหรือเสรีภาพของสื่อมวลชนโดยมิชอบ และไม่เคยมีพฤติการณ์ในการครอบงำสื่อให้เป็นคุณเป็นโทษกับพรรคการเมืองใดเหตุเกิดที่ทำการพรรคอนาคตใหม่ ถ.เพชรบุรี แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม.
อย่างไรก็ดี "ศาล" พิเคราะห์คำเบิกความของพยานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล จึงให้มีคำสั่งประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณาเพื่อสืบพยานโจทก์-จำเลย และมีคำพิพากษาต่อไป โดย "ศาล" กำหนดนัดพร้อมคู่ความ พร้อมออกหมายเรียกแจ้งนัดให้จำเลย มาสอบคำให้การในวันที่ 20 เม.ย.นี้ เวลา 09.00 น.