'บิวตี้เจมส์' หวั่นทรัมป์ใช้ยาแรง แก้โควิด-ฉุดส่งออกอัญมณีวูบ
“บิวตี้เจมส์” หวั่นสหรัฐอเมริกา งัดมาตรการปิดประเทศสกัดโควิค-19 สะเทือนยอดขาย-ส่งออก ชี้ปีนี้แค่ประคองตัวให้อยู่รอดท่ามกลางวิกฤติถือว่าประสบความสำเร็จ
นายสุริยน ศรีอรทัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวตี้เจมส์ จำกัด กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ถือว่าวิกฤติที่สุดในรอบ56ปี จากประสบการณ์การทำงาน 26ปีที่ผ่านมาวิกฤติครั้งนี้หนักสุด เพราะเป็นวิกฤติที่เกี่ยวกับชีวิตทุกคนสามารถติดโรคได้ง่าย
ล่าสุดองค์การอนามัยโลกประกาศให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นภาวะการแพร่ระบาดใหญ่ระดับโลก โดยเฉพาะในยุโรป ส่งผลให้สหรัฐออกมาตรการระงับการเดินทางจากยุโรปเป็นเวลา 30 วัน สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้บริษัทเริ่มกังวลมาตรการที่สหรัฐดำเนินการจะรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง ถึงขั้น ปิดประเทศหรือไม่ เนื่องจากพบว่าสหรัฐเป็นประเทศหนึ่งที่มีการแพร่ระบาดค่อนข้างมากว่าถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
“แม้ว่าช่วง2 -3 เดือนแรกที่ผ่านมา เราจะมียอดขายจะเติบโตถึง15%แต่จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทำให้การทำธุรกิจยากขึ้น เนื่องจากตลาดสหรัฐถือเป็นตลาดหลักที่มีสัดส่วนส่งออกถึง40% รองลงมาเป็นญี่ปุ่น 20% ยุโรป15%ที่เหลือตะวันออกกลางและเอเชีย หากตลาดสหรัฐปิดประเทศจะส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัทค่อนข้างมาก”
โดยในปีนี้ทางบิวตี้เจมส์วางเป้าหมายว่า จะมีรายได้ในระดับ 7,500 ล้านบาท เท่ากับปี2562 ทั้งในกลุ่มเครื่องประดับเพชร ทองคำ สนามกอล์ฟ และประกันภัย โดยในส่วนของกลุ่มเครื่องประดับบิวตี้เจมส์ มีรายได้หลักจากการส่งออก สัดส่วน 90% และในประเทศประมาณ 10% ผ่านช่องทางร้านเพชรบิวตี้เจมส์ และร้านบิวตี้ไดมอนด์
“ตอนนี้ยังมองไม่ออกว่าธุรกิจจะไปต่ออย่างไร เพราะเป็นวิกฤติที่ยากต่อการคาดการณ์ และยากที่จะรับมือน่ากลัวมากกว่าวิกฤติที่เคยเจอตั้งแต่ผมเกิดมา ก็ไม่เคยเจอวิกฤติแบบนี้มาก่อน ลุกลามรวดเร็ว รุนแรงยิ่งกว่าสงคราม เพราะเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพชีวิตคน ตอนนี้ต้องรอดูว่าเราจะรับมืออย่างไรเพื่อไม่ให้เข้าสู้ระยะที่ 3 หรือถ้าเข้าระยะที่3 แล้วยังสามารถทำมาค้าขายได้ เพราะตอนนี้ยังหาความมั่นใจอะไรไม่ได้เลย ทุกคนสามารถติดโรคได้หมด และเป็นความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน"
นายสุริยน ยังกล่าวว่า ปีนี้จึงถือเป็นปีแห่งการตั้งรับและเรียนรู้ในการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง ไม่ประมาทเพื่อประคองตัวให้อยู่รอดจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย และภาวะเศรษฐกิจกลับมาดีขึ้นอีกครั้งถือว่าประสบความสำเร็จ แม้ยอดขายอาจไม่เป็นไปตามเป้า ต้องทำธุรกิจด้วยความไม่ประมาทและพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ตลอดเวลา ต้องมีสติเพราะในวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ เพียงแต่ว่าเราสามารถมองเห็นโอกาสนั้นหรือไม่
“ ถ้าสหรัฐปิดประเทศ2 เดือนแล้วสกัดการแพร่ระบาดได้ สามารถไปต่อได้เหมือนกับที่จีนปิดประเทศแล้วสกัดการแพร่ระบาดและกำลังจะเปิดประเทศในอีก2 เดือนข้างหน้าจะทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจกลับมาดีขึ้นได้”
สำหรับตลาดภายในประเทศปีนี้ เขาประเมินว่าจะเผชิญกับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจหลายรายที่สู้ไม่ไหวต้องปิดกิจการหรือผันตัวไปประกอบธุรกิจอื่น เพื่อความอยู่รอด แต่ทางบริษัทยังมองว่าจะผ่านไปได้ เราได้ปรับตัวโดยเน้นการบริหารจัดการองค์กรภายในให้แข็งแกร่ง รักษาสภาพคล่อง และไม่ลงทุนเกินตัวซึ่งที่ผ่านมาบริษัทกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจที่มีศักยภาพ อาทิ ทองคำ ประกัน สนามกอล์ฟเพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนสูงขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดตลาดหุ้นร่วงลงมาอย่างแรงจนทุกคนต้องก่ายหน้าผาก
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ บริษัทได้เข้ามามีส่วนร่วมกับปัญหาฝุ่นละอองในอากาศ หรือ PM2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อคนไทยด้วยการนำเสนอไอเดียในการติดตั้งสปริงเกอร์รอบอาคารบิวตี้เจมส์ ที่ตั้งอยู่ในถนนสีลม ซอยศาลาแดง จำนวน175 จุดเพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองในอากาศ และเพื่อจุดประกายให้ตึกในกรุงเทพฯร่วมกันติดตั้งเพื่อช่วยกันลดมลภาวะทางอากาศลง เพราะปัญหาฝุ่นละอองในอากาศ หรือ PM2.5 จะยังคงเป็นปัญหาหลักที่ยังคงเกิดขึ้นกับคนในกรุงเทพฯ ต่อไป จึงต้องเร่งหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยไม่ต้องรอให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินการ
ในฐานภาคเอกชนสามารถร่วมกันแก้ไขปัญหาได้ด้วยการอาศัยความร่วมมือซื้อกันและกัน ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการจำนวน24 บริษัท ที่เข้ามาเป็นพันธมิตร ในงาน Beanty Gems Let's Go Green Stop PM2.5 อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม กลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้า บริษัท เบทเตอร์เวย์ บริษัท ชลาชล จำกัด เป็นต้น เพราะต่อจากนี้ไปการทำธุรกิจให้ยั่งยืนต่อให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง การที่บริษัทเข้ามามีส่วนร่วมในการทำให้สังคม สิ่งแวดล้อมดีขึ้นจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภค ลูกค้ารู้สึกดีกับแบรนด์ไปด้วย