13 มีนาคม 'วันช้างไทย' ปลูกจิตสำนึกช่วยกันกันอนุรักษ์ ก่อนสูญพันธุ์
อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ เผยสถานการณ์และมาตรการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า พร้อมเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมกันอนุรักษ์ช้าง เนื่องในวันช้างไทย 13 มีนาคมนี้
อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ เผยสถานการณ์และมาตรการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า พร้อมเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมกันอนุรักษ์ช้าง เนื่องในวันช้างไทย 13 มีนาคมนี้
คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้วันที่ 13 มีนาคมของทุกปีเป็นวันช้างไทย ทั้งนี้เพื่อให้คนไทยและเยาวชนรุ่นหลังได้ร่วมกันรำลึกและตระหนักถึงความสำคัญของช้าง ซึ่งปัจจุบันช้างเอเชียจัดเป็นสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ พบเฉพาะบางพื้นที่ใน 13 ประเทศ เท่านั้น ได้แก่ อินเดีย ศรีลังกา เนปาล บังคลาเทศ ภูฏาณ จีน เมียนมาร์ เวียดนาม ลาว กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย เราจึงต้องร่วมมือกันในการอนุรักษ์ช้างป่า ซึ่งเป็นสัตว์ประจำชาติของให้คงอยู่สืบต่อไป
นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ปัจจุบันช้างป่าอาศัยอยู่ตามธรรมชาติประมาณ 3,168-3,440 ตัว อาศัยอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ จำนวน 69 แห่ง มีผืนป่าที่เป็นแหล่งอาศัยของช้างป่าราว 52,000 ตร.กม พบช้างป่าได้ตั้งแต่น้อยกว่า 10 ตัว ไปจนถึง 200 – 300 ตัว โดยกลุ่มป่าที่มีประชากรช้างป่ามาก ได้แก่ กลุ่มป่าตะวันตก กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ กลุ่มป่าภูเขียว-น้ำหนาว กลุ่มป่าตะวันออก และกลุ่มป่าแก่งกระจาน ประชากรช้างป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์หลายแห่งในประเทศไทย พบว่าส่วนใหญ่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง อุทยานแห่งชาติกุยบุรี อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นต้น
ปัจจุบันพื้นที่ป่าอนุรักษ์หลายแห่งที่เป็นถิ่นอาศัยของช้างป่า เริ่มขาดแคลนพืชอาหาร แหล่งน้ำ พื้นที่เป็นภูเขา มีความลาดชันสูง ทำให้สภาพถิ่นอาศัยที่เหมาะสมของช้างป่ามีขนาดลดลงจากเดิม
นอกจากนี้แล้วผืนป่าซึ่งเป็นถิ่นที่อาศัยของช้างป่าดังกล่าว ไม่เชื่อมโยงกัน ถูกแบ่งแยก ตัดขาดออกจากกัน เนื่องจากการขยายตัวของชุมชน การขยายพื้นที่เกษตร การก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น การก่อสร้างเส้นทางคมนาคมที่ผ่านป่าสมบูรณ์ การก่อสร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัจจัยหลักก่อให้เกิดปัญหาช้างป่าออกมาทำลายพืชผลทางการเกษตรของราษฎรที่อาศัยใกล้ชิดตามแนวขอบพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหาที่สำคัญและเพิ่มความรุนแรงขึ้นทุกปี
สำหรับปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างเกิดขึ้นในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ประมาณ 40 แห่ง ทั่วประเทศ ตัวอย่างเช่น รักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อุทยานแห่งชาติกุยบุรี อุทยานแห่งชาติเขาชะเมา-เขาวง อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น เป็นต้น ซึ่งปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวและมีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต
กรมอุทยานฯ จึงได้กำหนดให้มีบริหารจัดการช้างป่าทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เพื่อการอนุรักษ์ช้างป่า ตลอดจนลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า สิ่งสำคัญคือเราต้องป้องกันไม่ให้ถิ่นที่อยู่อาศัยของช้างถูกทำลาย ซึ่งเรื่องนี้กรมอุทยานฯ ได้ดำเนินมาตรการอย่างเต็มที่เพื่อจะรักษาป่าซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของช้างป่า ทั้งการป้องกันปราบปรามการบุกรุกทำลายป่าและการตัดไม้
อีกทั้งยังได้กำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้มีการล่าช้าง โดยให้เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติลาดตระเวนเชิงคุณภาพไปตามจุดเสี่ยงต่าง ๆ และตามแหล่งหากินของช้างป่าอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการปรับปรุงป่าเสื่อมโทรม ให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยตามหลักวิชาการ รวมทั้งกลุ่มป่าบางแห่งที่เป็นเส้นทางช้างในอดีตที่ถูกตัดขาดไม่ต่อเนื่อง ก็จะมีการสร้างแนวเชื่อมต่อพื้นที่ให้เป็นป่าผืนใหญ่เชื่อมต่อหากันได้
นอกจากนี้ยังให้มีการศึกษาวิจัยในด้านการติดตามพฤติกรรมของช้างป่า แหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งหากิน พื้นที่เสี่ยง และจำนวนประชากร ของช้างป่ามาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ก็ต้องออกให้ความรู้เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนในเรื่องพฤติกรรมของช้างป่าและการปฏิบัติตนเมื่อพบช้างป่า ซึ่งปัจจุบันได้จัดทำคู่มือเบื้องต้นสำหรับประชาชน เพื่อเป็นแนวทางในการเสริมสร้างความเข้ารู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวช้าง สถานการณ์ของช้าง พฤติกรรมของช้าง ตลอดจนสร้างจิตสำนึกให้ราษฎรมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ช้างป่าไม่ให้สูญพันธุ์ โดยประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน นิสิต นักศึกษา เยาวชน มีจิตสำนึก และตระหนักถึงความสำคัญของช้างป่าและผืนป่า
อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับแผนงานและแนวทางการจัดการและแก้ปัญหาช้างป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์จำเป็นต้องมีการดำเนินงานบนพื้นฐานของข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์และต้องมีการดำเนินการทั้งในและนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ได้แก่ การจัดการช้างป่าในพื้นที่อนุรักษ์ ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้ช้างออกนอกพื้นที่ และควบคุมไม่ให้มีประชากรช้างมากเกินกว่าศักยภาพการรองรับได้ของพื้นที่ และการจัดการช้างป่านอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญเพื่อลดความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า เป็นการให้ความรู้ ความตระหนัก และสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาช้างป่า รวมถึงการให้ความช่วยเหลือเยียวยาความเสียหายแก่ประชาชนอันเกิดจากช้างป่า เช่น การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่กับชุมชน (อาสาสมัครเฝ้าระวังและผลักดันช้างกลับคืนสู่ป่าธรรมชาติ) ทำรั้วรังผึ้ง รวมถึงมีการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากช้างป่า และมีการให้ความรู้และสร้างเครือข่ายในการเฝ้าระวังช้างป่า อย่างต่อเนื่อง