มติ 'ครม.' สั่งปิดสถานบริการ พื้นที่กทม.-ปริมณฑล 14 วัน
ที่ประชุม ครม. เห็นชอบให้สถานบริการ ในเขตกทม.และปริมณฑล หยุดบริการเป็นเวลา 14 วัน เริ่มพรุ่งนี้ ซึ่งรวมถึง โรงหนัง-สถานบันเทิง ผับ บาร์ ร้านนวดไทย นวดโบราณ ที่เป็นร้านที่เข้ากฎหมายว่าด้วยสถานบริการให้ปิดทั้งหมด
สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยแพร่เอกสารมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่เห็นชอบตามที่คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) เสนอมาตรการ ระบุว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ปัจจุบันถึงแม้ว่าขณะนี้จะยังไม่เข้าสู่การระบาดในระยะที่ 3แต่มีแนวโน้ม การแพร่กระจายที่เพิ่มมากขึ้น และเพื่อลดการแพร่ระบาดจากกรุงเทพฯ ไปสู่จังหวัดอื่นๆ จึงจําเป็นต้องเตรียมความพร้อมและหามาตรการรองรับ โดยทุกภาคส่วนต้องทําความเข้าใจร่วมกัน เพื่อบูรณาการความร่วมมือเพื่อหาแนวทางการรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและขอขอบคุณทุกส่วน ราชการที่ร่วมมือในการประสานงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
จากการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนาเมื่อวานนี้(16มี.ค.) ได้นําเรื่องมาเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบและพิจารณาการดําเนินการ ในด้านต่าง ๆ 6 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านสาธารณสุข 2.ด้านเวชภัณฑ์ป้องกัน 3. ด้านข้อมูล การชี้แจงและการรับเรื่องร้องเรียน 4. ด้านการต่างประเทศ 5.ด้านมาตรการ ป้องกัน และ 6.ด้านมาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยา และคณะรัฐมนตรีได้มีมติ ดังนี้
1.ด้านสาธารณสุข “ไม่มีการปิดเมือง หรือปิดประเทศ (การห้ามเข้า-ออก)” โดย การป้องกันและสกัดกันการนําเชื้อเข้าสู่ประเทศไทย คือ
1.ชาวต่างชาติที่เดินทางจากประเทศซึ่งเป็นพื้นที่เขตติดโรคติดต่ออันตราย (4 ประเทศ + 2 เขตปกครองพิเศษ)
- ขาเข้าต้องมีใบรับรองแพทย์อายุไม่เกิน 3 วัน - ต้องมีประกันสุขภาพ - ยินยอมใช้ Application ติดตามของรัฐ - มาตรการนี้ใช้กับการเข้าเมืองทุกทาง ทั้งทางบก-น้ำ-อากาศ - ตม. ดูหนังสือเดินทางของชาวต่างประเทศด้วยว่าประเทศก่อนประเทศสุดท้ายคืออะไรบ้าง เป็นเขตติดโรคไหม แล้วแจ้ง มท.
- มาตรการกักกันของรัฐ ถูกคุมไว้สังเกตอาการ 14 วัน
2.ชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากประเทศซึ่งเป็นพื้นที่ระบาดต่อเนื่อง (ยังไม่ประกาศเป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย)
- ขาเข้าต้องมีใบรับรองแพทย์อายุไม่เกิน 3 วัน
- ต้องมีประกันสุขภาพ
- มีที่พํานักที่สามารถติดต่อได้ในประเทศไทย
- ยินยอมใช้ Application ติดตามของรัฐ
- มาตรการนี้ใช้กับการเข้าเมืองทุกทาง ทั้งทางบก-น้ำ-อากาศ
- มาตรการกักกันของรัฐ ถูกคุมไว้สังเกตอาการ 14 วัน
3. ห้ามข้าราชการ พนักงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ เดินทางไปต่างประเทศ ยกเว้นมีเหตุจําเป็น และเตือนประชาชนให้งดการเดินทางไปในประเทศซึ่ง เป็นพื้นที่เขตติดโรคติดต่ออันตราย และพื้นที่ระบาดต่อเนื่อง
-พัฒนาระบบและกลไกการกักกันผู้ที่เป็นหรือผู้ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็น โรคติดต่ออันตราย ณ ที่พํานัก ตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ. 2558
-ให้มีการกําหนดให้ชาวต่างประเทศ รวมทั้งคนไทยที่เดินทางมาจากต่างประเทศให้มีการใช้แอปพลิเคชั่น ติดตามตัว
-จัดหาและเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์ อุปกรณ์ เครื่องมือที่จําเป็น ในปริมาณที่เพียงพอสําหรับรับมือระยะ 3 ได้แก่ สถานพยาบาล เตียง หมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัคร ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือ และชุดป้องกันโรค
-แนะนําให้คนไทยที่พํานักอาศัยในต่างประเทศชะลอการเดินทางกลับประเทศไทยจนกว่าสถานการณ์การระบาดของโรคในประเทศจะดีขึ้น
2.ด้านเวชภัณฑ์ป้องกัน :“เร่งผลิตในประเทศและจัดหาจากต่างประเทศให้เพียงพอกับความต้องการ”
- เร่งผลิตหน้ากากอนามัย หน้ากากอนามัยผ้า เพื่อเป็นทางเลือกสําหรับการป้องกัน เจล แอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปใช้หน้ากากผ้าเมื่อเดินทางเข้า สถานที่ชุมนุม/ชุมชน และเร่งผลิตหน้ากากผ้าให้เพียงพอ นําหน้ากากอนามัยของกลางที่ยึดได้ส่งศูนย์ฯ เพื่อกระจายต่อไป สํารวจความต้องการของเวชภัณฑ์ที่จําเป็น อาทิ ชุดป้องกันสําหรับบุคลากรทาง การแพทย์ (PPE) หน้ากาก N95 ละอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จําเป็น และประสานกับต่างประเทศในการจัดหาเพิ่มเติมให้เพียงพอ
- ตรวจสอบการขาย Online การกักตุน และการระบายของสินค้า
3. ด้านข้อมูล : การสื่อสารข้อมูลต่าง ๆ ของรัฐบาลมาจาก 2 แหล่ง ได้แก่ 1. กระทรวงสาธารณสุข เป็นการแถลงเฉพาะด้านข้อมูลทางการแพทย์ การสาธารณสุข 2.ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 เป็นการแถลงภาพรวมในทุกด้านที่เกี่ยวข้อง
4. ด้านต่างประเทศ : การจัดตั้งทีมงานเพื่อดูแลคนไทยในต่างประเทศ - ให้ กต. ใช้ประโยชน์จาก TEAM THAILAND ในต่างประเทศ เพื่อเป็นทีมเฉพาะกิจ (Team Thailand COVID-19) ดูแลคนไทยในต่างประเทศ โดยมีท่านทูตเป็นหัวหน้าทีม
5. ด้านมาตรการป้องกัน “ลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรคในสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง”
ปิดสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคเพิ่มขึ้น
สถานที่ซึ่งผู้คนมาร่วมเป็นกิจวัตร เพื่อทํากิจกรรมร่วมกันอาจแพร่เชื้อได้ง่ายแม้จะป้องกันแล้ว และยังมีทางเลือกอื่นทดแทนการชุมนุม ได้แก่ มหาวิทยาลัย โรงเรียนนานาชาติ สถาบันกวดวิชา และทุกสถาบัน ให้ปิดชั่วคราว ตั้งแต่วัน พุธที่ 18 มีนาคม 2563 เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ และให้สถานศึกษา ดําเนินการป้องกันโรคตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
สถานที่ซึ่งผู้คนไม่ได้มาชุมนุมเป็นกิจวัตร แต่มาเพื่อทํากิจกรรมที่มีการ เบียดเสียดใกล้ชิด และเสียงต่อการแพร่เชื้อง่ายทางปาก สัมผัสถูกเนื้อถูกตัว หรือใช้สิ่งของร่วมกันง่าย
- ปิดชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย สําหรับสนามมวย สนามกีฬา สนามม้า ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
- ปิดชั่วคราว 14 วัน สําหรับ ผับ สถานบันเทิง สถานบริการ นวดแผนโบราณ และโรงมหรสพ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
งดการจัดกิจกรรมรวมคนจํานวนมากที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดของโรค เช่น จัดคอนเสิร์ต การจัดงานแสดงสินค้าต่าง ๆ กิจกรรมทางศาสนา วัฒนธรรม และกีฬา โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วย “เพิ่มมาตรการป้องกันสําหรับพื้นที่/สถานที่ที่ยังต้องเปิด”
ลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อในสถานที่ที่มีประชาชนใช้บริการจํานวนมาก ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า ตลาด สถานที่ราชการ และรัฐวิสาหกิจ โดยดําเนินการตามมาตรการ ป้องกันที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด
ร้านค้า ร้านอาหาร ให้มีมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อ เช่น การทําความสะอาด พื้นผิวสัมผัส การคัดกรองอุณหภูมิ การใช้หน้ากากอนามัย รวมทั้งลดความแออัด “ลดความแออัดในการเดินทาง เพื่อลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรค”
ยับยั้งการแพร่ระบาดภายในประเทศ ได้แก่ งดวันหยุดสงกรานต์ วันที่ 13-15 เมษายน 2563 โดยให้เลื่อนออกไปก่อน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด โดยจะชดเชย วันหยุดให้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
ลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อในระบบขนส่งสาธารณะในประเทศ และเพิ่มความดีของการเดินรถ
งดกิจกรรมที่มีการเคลื่อนย้ายคนข้ามจังหวัดของหน่วยงานที่มีคนจํานวนมาก เช่น ค่ายทหาร เรือนจํา โรงเรียน หรือหากจําเป็นต้องเคลื่อนย้าย ต้องมีมาตรการป้องกัน การแพร่ของโรค รวมถึงการจํากัดการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวด้วย
ให้ทุกหน่วยงานพิจารณามาตรการเหลื่อนเวลาทํางานและการทํางานที่บ้าน และส่งเสริมให้ใช้ระบบอินเตอร์เน็ต เช่น ประชุมทางไกล โดยให้หน่วยงานราชการทุกหน่วยทําแผนการทํางานจากบ้านและรายงานผลการปฏิบัติต่อศูนย์ฯ “เพิ่มกลไกการกํากับดูแลในระดับพื้นที่มากยิ่งขึ้น”
ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และ คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ใช้อํานาจตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มาตรา 35 เพื่อจํากัด ดูแล การเคลื่อนย้ายที่จะทําให้เกิดการแพร่ระบาด หรือกําหนดมาตรการที่เหมาะสมในการจํากัดพื้นที่เสี่ยงตามข้อมูลที่มีการแพร่ระบาด หรือกำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการจัดพื้นที่เสี่ยงตามข้อมูลที่มีการแพร่ระบาดที่จะดําเนินการต่อศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ทราบและให้ความเห็นชอบโดยเร็ว พร้อมทั้งรายงาน ผลการดําเนินงานเป็นประจําทุกวัน
ให้มีหน่วยปฏิบัติการควบคุมโรคในทุกอําเภอ เขต หมู่บ้าน โดยมีบุคคลจากภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย
6. มาตรการช่วยเหลือเยียวยา
กลุ่มธุรกิจ โรงงาน สถานประกอบการ โรงแรม และธุรกิจเกี่ยวเนื่องด้านการท่องเที่ยวให้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาหามาตรการ รองรับเพื่อช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ในกรณีที่ต้องชะลอการ lay off พนักงาน ลูกจ้าง อาทิ มาตรการช่วยเหลือการลดราคาห้องพักของธุรกิจโรงแรม ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอให้ยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมจากเจ้าของกิจการโรงงาน
กลุ่มประชาชนได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ให้ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณามาตรการในการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ทางเศรษฐกิจ และมีภาระในในการผ่อนชําระ เช่น รถจักรยานยนต์ ฯลฯ เพื่อให้ สถาบันการเงินผ่อนผันการชําระค่างวด รวมถึงประชาชนที่ประกอบอาชีพต่าง ๆ ที่อยู่ นอกระบบ (พ่อค้า แม่ค้า ลูกจ้างรายวัน ฯลฯ) กลุ่มเกษตรกร (ผลไม้ ดอกไม้ กล้วยไม้ ฯลฯ) ที่ได้รับผลกระทบ และพิจารณามาตรการเพื่อนําเสนอเป็นมาตรการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดฯในระยะที่ 2 ต่อไป
ให้ กระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการดูแลอย่างเข้มงวดในเรื่องที่เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากสถานการณ์ไวรัสโควิด เช่น หนี้นอกระบบ การบังคับคดี การขายฝาก เป็นต้น
สร้างขวัญและกําลังใจให้กับกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์
ทั้งนี้ สําหรับมาตรการของรัฐบาลเพื่อรองรับผลกระทบที่สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคที่ เคยเข้าคณะรัฐมนตรี ขอให้ศูนย์ข้อมูลโควิด นําไปเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ในช่วงทางต่าง ๆ ต่อไป
สรุป
ขณะนี้ ประเทศไทยควบคุมสถานการณ์และชะลอระยะ 2 ให้นานที่สุด โดยใช้มาตรการควบคุม ป้องกัน รักษา และสื่อสารในทุก ๆ ด้าน โดยถือว่าการแก้ไขปัญหา COVID-19 มีความสําคัญ เป็นอันดับ 1 เนื่องจากมีผลกระทบทั้งต่อชีวิตของประชาชนโดยตรง และเมื่อสถานการณ์การ แพร่ระบาดของโรคบรรเทาลงแล้ว รัฐบาลจะได้ดําเนินการฟื้นฟูผลกระทบด้านอื่น ๆ ซึ่งรวมถึง ด้านเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ รัฐบาลจะประเมินสถานการณ์ COVID ทั้งภายในประเทศและ ต่างประเทศ และปัญหาเศรษฐกิจรายวันอย่างใกล้ชิดและรอบคอบ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและ ปรับ/เพิ่มเติมมาตรการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่อไป