บลจ.ทิสโก้เอาใจสายออม เปิด SSF ลงทุนเชิงรุกในหุ้นพื้นฐานดี มีแนวโน้มเติบโตเด่น
บลจ.ทิสโก้เอาใจสายออม เปิดกองทุน SSF “ทิสโก้ หุ้นทุน เพื่อการออม” กองทุนเชิงรุก เน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี มีแนวโน้มเติบโตทางธุรกิจ เปิด IPO ตั้งแต่วันที่ 1 - 15 เม.ย. 63 พร้อมเพิ่มชนิดเพื่อการออมพิเศษ ลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 63
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.ทิสโก้ไม่หยุดนิ่งที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนที่หลากหลาย ล่าสุดได้นำเสนอกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) กองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นทุน เพื่อการออม (TEGSSF) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดี มีแนวโน้มเติบโตสูง มีความมั่นคง และใช้นโยบายการลงทุนเชิงรุก โดยผู้ลงทุนสามารถนำมูลค่าซื้อหน่วยลงทุนไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมินและไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ประกันบำนาญและกองทุนเกษียณอื่นๆ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) 1 – 15 เมษายน 2563 มูลค่าขั้นต่ำในการจองซื้อ 1,000 บาท
นอกจากนี้ เพื่อให้ผู้ลงทุนไม่พลาดโอกาสที่ดี จากการที่ภาครัฐฯ เพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยอนุมัติให้นำมูลค่าซื้อหน่วยลงทุน SSF ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 30 มิถุนายน 2563 ไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมอีก 200,000 บาท โดยเป็นวงเงินที่แยกจากวงเงินหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนใน SSF กรณีปกติ และไม่อยู่ภายใต้เพดานวงเงินหักลดหย่อนภาษีที่รวมในกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ วงเงินสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท บลจ.ทิสโก้ จึงได้เพิ่มหน่วยลงทุน “ชนิดเพื่อการออมพิเศษ” ในกองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นทุน เพื่อการออม เปิดให้ลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. - 30 มิ.ย. 63 ทั้งนี้ ผู้ลงทุนต้องถือหน่วยลงทุน SSF ไม่น้อยกว่า 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ หากผิดเงื่อนไขการลงทุน ผู้ลงทุนจะหมดสิทธิ์ได้รับยกเว้นสิทธิประโยชน์ทางภาษี และต้องเสียภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่รับยกเว้นมาแล้วพร้อมเบี้ยปรับเงินเพิ่ม ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุนรวมดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน
“ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงกว่า 30% เรียกได้ว่าลดลงจนเกินปัจจัยพื้นฐาน เมื่อดูอัตราราคาต่อหุ้น (P/E) ก็ปรับลงมาต่ำกว่า 12 เท่าถือว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีไปค่อนข้างมาก และยังทำให้อัตราการจ่ายปันผลย้อนหลังของหุ้นไทยเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นที่ประมาณ 4.5% ต่อปี แม้ว่าในปีนี้คาดการณ์ว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนไทยจะหดตัว แต่ราคาหุ้นไทยในปัจจุบันก็ได้สะท้อนการคาดการณ์ดังกล่าวไปมากแล้ว ทำให้ดัชนีหลักทรัพย์ถือได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าลงทุน ดังนั้น จึงมองว่าการปรับตัวลงของหุ้นไทยในช่วงนี้เป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่จะคัดเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีมาเก็บไว้ในพอร์ต หรือเลือกลงทุนผ่านกองทุนที่มีนโยบายเชิงรุกมุ่งสร้างผลประกอบการของกองทุนเหนือดัชนีชี้วัด โดยมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพช่วยคัดเลือกหุ้นที่ดีเหมาะสำหรับลงทุนระยะยาว ” นายสาห์รัชกล่าว
อย่างไรก็ตาม บลจ.ทิสโก้คาดว่าความไม่แน่นอนต่างๆ จะเริ่มคลี่คลาย และมีความชัดเจนขึ้นอย่างเป็นลำดับ เริ่มจากสถานการณ์ไวรัส COVID-19 ที่ในหลายประเทศสำคัญได้ประกาศมาตรการและแนวทางควบคุมผลที่เกิดขึ้นให้อยู่ในวงจำกัด พร้อมมาตรการเยียวยาช่วยเหลือในด้านต่างๆ ผ่านนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เพื่อประคองสถานการณ์ไปพร้อมๆ กับการเตรียมความพร้อมด้านการรักษา และสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง เหมือนที่สามารถทำได้สำเร็จในประเทศจีนและเกาหลีใต้ ทั้งนี้ คาดว่าความชัดเจนจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 พร้อมๆ กับการผ่านพ้นฤดูกาลแพร่ระบาด ในส่วนของภาวะความผันผวนของราคาน้ำมันคาดว่าจะลดลงหลังจากความตกใจต่อการยกเลิกแผนการลดการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่ม OPEC รวมทั้งการกลับเข้าสู่ภาวะอุปสงค์อุปทานที่แท้จริง ทั้งนี้ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอาจจำเป็นต้องใช้เวลาในระดับหนึ่ง ซึ่งต้องติดตามเป็นเป็นระยะๆ