ลุ้น SSF ดันดัชนี 5% โบรกเกอร์ ประเมิน 3 เดือนระดมเงินราว 2.6 หมื่นล้าน
โบรกเกอร์ ประเมินเม็ดเงินลงทุนผ่านกอง “เอสเอสเอฟ เอ็กซ์ตร้า” ช่วง 3 เดือน ไหลเข้าราว 6,000-26,000 ล้านบาท หนุนดัชนีทะยาน 2.5-5% พร้อมกางสถิติจากวิกฤติเศรษฐกิจ 2 ครั้งในอดีต พบหากถือครองยาว 10 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 7.8-14%
กองทุนรวมเพื่อการออมระยะยาวแบบพิเศษ(SSFX) ที่เน้นลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียน เริ่มเปิดขายหน่วยลงทุนในวานนี้(1เม.ย.) เป็นวันแรก โดยมี บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ที่เปิดขายทั้งหมด 13 บลจ. รวมจำนวน 18 กองทุน พบว่า กระแสตอบรับค่อนข้างดี เพียงแต่ช่วงแรกแต่ละ บลจ. เชื่อว่าเม็ดเงินจะยังไม่รีบเข้ามานัก แต่จะเข้ามาในช่วงที่ใกล้ปิดขายหน่วยลงทุน
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ และหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เอเซีย พลัส จำกัดคาดว่า เม็ดเงินจากกองทุน SSFX ที่จะเปิดขายในช่วงเม.ย.-มิ.ย.นี้จะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 ประมาณ 26,000 ล้านบาท โดยอานิสงส์ดังกล่าวคาดว่าจะมีผลต่อภาพรวมของตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวขึ้นได้ราว 4-5% ภายใต้สมมุติฐานที่ตลาดยังไม่มีปัจจัยลบใหม่ที่เข้ามากระทบในช่วงดังกล่าว และถือเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ช่วยพยุงตลาดในยามที่ปรับฐานลงมาแรง
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่า ในช่วงการเปิดขายหน่วยลงทุนดังกล่าวราว 3 เดือน คือ เม.ย.-มิ.ย.2563 น่าจะมีเงินเข้ามาประมาณ 6 พันล้านบาท ซึ่งจะช่วยดันดัชนีหุ้นไทยได้ประมาณ 2.5-2.6%
ทั้งนี้การประเมินดังกล่าว ตั้งอยู่บนสมมติฐานจาก 2 ปัจจัย คือ พฤติกรรมการซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ในอดีต 5 ปี ซึ่งพบว่าช่วงเม.ย.-พ.ค.ของทุกปีมักเป็นช่วงที่มีเม็ดเงินไหลเข้าเฉลี่ย 1,065 ล้านบาท และ 1,993 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนเดือน มิ.ย.มีค่าเฉลี่ยเป็นไหลออกเล็กน้อยราว 74 ล้านบาท โดยเหตุผลที่นักลงทุนซื้อ LTF ช่วงกลางปีอาจเป็นเพราะการเคลื่อนไหวของดัชนีฯที่มักมีการปรับฐาน เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของหลายธุรกิจ รวมทั้งเป็นผลจากแรงขายทำกำไรหลังประกาศงบไตรมาส 1 และหลังจากขึ้นเครื่องหมาย XD เพื่อจ่ายปันผลของหลายบริษัทใหญ่ จึงคาดว่าเงินที่จะไหลเข้า SSFX ในช่วง 3 เดือนข้างหน้าถ้าอิงกรณีปกติไม่ควรน้อยกว่าค่าเฉลี่ยที่ราว 3,000 ล้านบาท
อีกปัจจัย คือ ประมาณการจากกลุ่มผู้เสียภาษีที่มีโอกาสใช้สิทธิซื้อ SSFX เต็มโควต้า โดยคาดว่าผู้ที่ฐานภาษีสูง 30-35% ที่จะใช้สิทธิเต็มจำนวน ซึ่งมีอยู่ราว 80,000 คน ซึ่งคาดว่าจะมาใช้สิทธิราว 1 ใน 3 หรือ 30,000 คน หรือคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนราว 6,000 ล้านบาท โดยเม็ดเงินที่จะไหลเข้าตลาดหุ้นในช่วงที่ไร้แรงหนุนจาก LTF เหมือนปีก่อนๆย่อมเป็นผลดีต่อสภาพคล่องและเสถียรภาพการเคลื่อนไหวของดัชนีฯในระยะถัดไป
อย่างไรก็ตามในส่วนของเงื่อนไขสำคัญของ SSFX ที่ต้องถือครองกองทุนยาว 10 ปี พบว่า หากอิงกับสถิติในปีที่เกิดวิกฤติ 2 ครั้งใหญ่ คือปี 2540 (ต้มยำกุ้ง) และ 2551(วิกฤตซับไพร์ม) พบว่าหากได้ลงทุนในช่วง 3 เดือนที่เกิดวิกฤติดังกล่าวแล้วถือครอง 10 ปีจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.8% ต่อปี และ 14% ต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ระดับดัชนีฯในปัจจุบันคิดเป็น Current PBV ราว 1.1 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังที่อยู่ระดับ 1.9 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 4.6% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ย้อนหลังที่ 3.1% จึงทำให้ในเชิงของแวลู่ชั่นมองว่าเป็นโอกาสดีสำหรับการซื้อกองทุน SSFX ในช่วง 3 เดือนข้างหน้าเพื่อลงทุนระยะยาว
ส่วนดัชนีหุ้นไทยวานนี้(1เม.ย.) ปรับลดลงค่อนข้างแรง โดยปิดที่1,105.51ลดลง -20.35หรือ -1.81%มูลค่าการซื้อขาย 67,169.04 ล้านบาท โดย นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่าภาวะตลาดที่ปรับตัวลดลงเป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาคและยุโรป เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอกจากผลกระทบของโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและกดดันค่าเงินบาทให้อ่อนตัวลง รวมถึงราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังคงปรับตัวลดลงส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันนี้ คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1,080-1,140 จุด