เหตุวุ่นวายสุวรรณภูมิ สะท้อนประสิทธิภาพมาตรการกักตัว 'โควิด-19'
เจ้าหน้าที่ส่งกักตัวทั้งหมด ย้ำทุกมาตรการต้องเคร่งครัด นายกฯ สั่งล่าตัวผู้หลบหนีกักตัวสุวรรณภูมิ คาดโทษฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
กลายเป็นดราม่าที่ร้อนไปทั่วทั้งโซเชียลถึงกรณีคนไทยที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ 152 คน ได้ปฏิเสธที่จะเข้ารับการกักตัวตามมาตรการของรัฐบาล ทั้งที่มีประกาศแนวปฏิบัติอย่างชัดเจนภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วก็ตาม
วันที่ 3 เมษายน 2563 ช่วงเวลา 20.00 น. มีคนไทยและชาวต่างชาติ ยังเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ โดยกลุ่มคนไทยมากกว่า 100 คน ได้ปฏิเสธที่จะเข้ารับการกักตัวตามมาตรการของรัฐบาล ในสถานที่ที่จัดไว้รอรับที่ อ.สัตหีบ และ โรงแรมอีก 2 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร โดยอ้างว่าไม่ทราบว่ามีมาตรการดังกล่าว จนกลายเป็นความตึงเครียดเกิดขึ้นภายในอาคารผู้โดยสาร
โดยได้มีกระแสข่าวว่า กลุ่มผู้โดยสารที่เดินทางมาถึงสุวรรณภูมิ เรียกร้องให้รัฐบาลส่งตัวแทนมาชี้แจง และทำท่าจะลุกลามเป็นการชุมนุมต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่ทหารระดับพลตรีได้เข้ามาคุมสถานการณ์ และเปิดการเจรจากับผู้เดินทาง ซึ่งใช้เวลาเจรจาประมาณ 20 นาที ก่อนจะอนุญาตให้ทุกคนเดินทางกลับบ้านได้ โดยกำชับให้ทุกคนต้องกักตัวเอง 14 วัน แม้ว่าเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขจะคัดค้าน แต่ไม่สามารถควบคุมตัวผู้เดินทางทั้งหมดได้
นอกจากนี้ มีรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขด้วยว่า ผู้โดยสารที่ออกไปมีคนมีไข้ซึ่งถูกกักไว้ 3 คน อาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีการกักตัวออกจากสนามบินไปด้วย
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ ทีมข่าวเนชั่นทีวีที่สนามบินสุวรรณภูมิพบว่า จากการสอบถาม พนักงานรักษาความปลอดภัยและแม่บ้านที่เห็นเหตุการณ์ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการปล่อยตัวคนไทยที่กลับจากประเทศญี่ปุ่นตามที่เป็นข่าว แต่ยอมรับว่ามีเหตุชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้นจริง
แต่ภายหลังมีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาพูดคุย ก็สามารถตกลงกันได้ และนำตัวคนไทยทั้งหมดขึ้นรถบัสจำนวน 4 คัน ออกจากประตู 10 ชั้น 2 ฝั่งขาเข้า ไปกักตัวที่ฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี ตั้งแต่เมื่อคืนช่วงเวลาตี2 แล้ว แม้แต่บรรดาญาติมาต้อนรับ เจ้าหน้าที่ไม่ได้อนุญาตให้พูดคุยใกล้ เนื่องจากคนไทยที่กลับจากประเทศญี่ปุ่น เป็นกลุ่มเสี่ยง ที่จะต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วันตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข
ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขและการบินพลเรือนระบุว่า ผู้เดินทางควรสังเกตอาการตนเองก่อนเดินทาง 14 วัน ให้แน่ใจว่าไม่ป่วย วัดไข้ก่อนขึ้นเครื่องบิน ระหว่างการเดินทางต้องป้องกันตนเอง ใช้หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เลี่ยงใกล้ชิดกัน เพื่อเลี่ยงติดโรค ซึ่งการขึ้นเครื่องบินทั้งที่รู้ว่าป่วย จะเป็นอันตรายต่อตัวเองเพราะไม่อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ จึงควรรักษาให้หายดีค่อยเดินทาง และเสี่ยงต่อผู้โดยสารและลูกเรือ
ล่าสุด.. เช้าวันที่ 4 เมษายน 2563 พลตรีโกศล ชูใจ ผู้ชำนาญการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ชี้แจงเพียงสั้นๆ กับผู้สื่อข่าวก่อนเข้าประชุมกับนายกรัฐมนตรีในเวลา 9.00 น. โดยยืนยันว่า ไม่ได้เป็นคนปล่อยตัวคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศเมื่อวานนี้ แต่ผู้มีอำนาจปล่อยคือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เหตุการณ์เมื่อคืนกำลังชุลมุน จึงเข้าไประงับเหตุ และชี้เเจงรายละเอียด โดยได้แจ้งเรื่องให้ปลัดกระทรวงกลาโหมรับทราบแล้ว
ผู้โดยสารรายหนึ่งได้โพสต์ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงที่มาที่ไปของความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายหลังจากเดินทางมาถึงสถานที่เฝ้าระวังอาการที่อาคารรับรอง ฐานทัพเรือสัตหีบ เจ้าตัวระบุว่า ตนเองไม่มีปัญหาอะไรกับการเดินทางมาที่นี่ แต่ความไม่ชัดเจนของการสื่อสาร และการจัดการนั้นทำให้ทุกอย่างดูวุ่นวายขึ้น โดยเฉพาะการรอคอยที่ไม่มีคำตอบ และไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่นั่นคือปัญหาหลัก
“ตอนแรก ไม่มีการแจ้งบอกว่าจะพาเราไปกักตัวที่ไหน ไม่มีคำตอบว่าจะต้องอะไรยังไง ตอนแรกบอกจะพาไปส่งในสถานกักตัวในจังหวัดที่เราเขียนไว้ แล้วก็บอกว่าจะพาไปตรวจที่โรงพยาบาล แล้วสุดท้ายมาโผล่ที่นี้สัตหีบ”
ผู้โดยสารรายดังกล่าวยังเขียนเล่าอีกว่า ก่อนหน้านั้นตนเอง และครอบครัวได้ระมัดระวังตัวเองอย่างเคร่งครัด และตลอดการเดินทางก็พยายามล้างมือ และฆ่าเชื้ออยู่ตลอด จนมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิที่มีการนำคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศมารวมไว้ในที่เดียวกันปัญหาจึงเกิดขึ้น พร้อมทั้งยังได้โพสต์ภาพความเป็นอยู่ระหว่างการกักตัว ตั้งแต่การคัดกรอง การเดินทาง ที่พัก รวมทั้งอาหารการกินในสถานที่กักตัวด้วย
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งให้ ทหาร ตำรวจ ติดตามตัวผู้ที่หลบหนีการกักตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิทั้งหมด หากฝ่าฝืนให้ลงโทษตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน