ครอบครัวไทยกับ 'ภาระค่าใช้จ่าย ความเครียด ความรุนแรง' ในภาวะวิกฤติโควิด
พม. เผยผลสำรวจ “ครอบครัวไทยในภาวะวิกฤติ COVIC-19” พบการปฏิบัติตัวของประชาชนดีขึ้น สวมหน้ากากอนามัย เลี่ยงการอยู่นอกบ้าน กินร้อน ช้อนส่วนตัว และล้างมือ อย่างไรก็ตามวิกฤตดังกล่าว ส่งผลให้มีความเครียด ความรุนแรง และปัญหาเรื่องเงินเกิดขึ้น
จากการระบาดของโควิด-19 ที่ทุกคนต้อง “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” แต่อีกด้านหนึ่งยังมีกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบต้องหยุดงาน นำมาซึ่งปัญหาทางด้านการเงิน ความเครียด รวมถึงกลุ่มคนไร้บ้านที่ “ไม่มีบ้านให้อยู่” จากผลสำรวจของ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พบว่า มีครอบครัวไทยเพียง 23.4% เท่านั้น ที่ไม่มีปัญหาด้านการเงินในภาวะวิกฤตนี้
วันนี้ (14 เมษายน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยผลการสำรวจ “ครอบครัวไทยในภาวะวิกฤติ COVIC-19” ในงานแถลงข่าว Kick Off โครงการ พม. “เราไม่ทิ้งกัน” ภายใต้แนวคิด “สำรวจให้พบ จบที่ชุมชน” ณ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสำรวจกลุ่มตัวอย่างประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ทุกสาขาอาชีพ ทั่วประเทศ จำนวน 2,069 ตัวอย่าง ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 10 – 13 เมษายน 2563
สราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ระบุว่า จากการสำรวจดังกล่าว พบว่าด้านการปฏิบัติตัวของประชาชนในภาวะวิกฤต COVID-19 ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามนโยบายและมาตรการของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด โดยสมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่สวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน ร้อยละ 96.4 มีความพยายามหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้าน ไม่ไปอยู่ในสถานที่สาธารณะที่มีผู้คนแออัดและหลีกเลี่ยงงานเลี้ยงสังสรรค์ร้อยละ 88.3 มีการทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ กินร้อน ช้อนส่วนตัวและล้างมือบ่อยมากขึ้นร้อยละ 84.3
- ครอบครัวไทย0.9%ใช้ความรุนแรง
กิจกรรมที่ทำขณะอยู่บ้าน Stay at home พบว่าติดตามข่าวสารบ้านเมืองและข่าวสถานการณ์ COVID-19 ร้อยละ 98.8 มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น บริจาคเงิน ทำบุญ จิตอาสา ร้อยละ 85.6 และมีการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น ร้อยละ 82.0 นอกจากนี้ ยังพบว่า นโยบายทำงานที่บ้าน (Work for home) สมาชิกครอบครัว 7 ใน 10 คน ทำงานที่บ้าน ขณะที่ สัดส่วน 1 ใน 4 คน ใช้เวลาทำงานมากพอๆ กับที่ทำงาน
“แม้ว่าจะมีสถานการณ์วิกฤตจากโรคระบาด แต่ครอบครัวไทยส่วนใหญ่กว่า ร้อยละ 96.0 ก็ไม่มีการใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายกัน อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพราะความตึงเครียด ทำให้สมาชิกครอบครัวเพียงร้อยละ 56.4 เท่านั้น ที่สามารถควบคุมการใช้อารมณ์รุนแรงหรือไม่ใช้อารมณ์รุนแรงกับคนในครอบครัว แต่ที่น่าห่วงใย คือ มีครอบครัวไทย ร้อยละ 5.8 ที่เมื่อมีความหงุดหงิดและโมโหแทบไม่สามารถควบคุมการใช้อารมณ์กับคนในครอบครัวได้เลย ซึ่งในจำนวนนี้มีร้อยละ 0.9 ที่มีการใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายกัน จนได้รับบาดเจ็บ” รองปลัดพม.กล่าว
ในส่วนของด้านการอยู่ร่วมกันของครอบครัวในภาวะวิกฤติ COVID-19 พบว่า ประชาชนมีความเห็นว่าสถาบันครอบครัว คือสถาบันที่มีความสำคัญมากที่สุด ร้อยละ 94.6 รองลงมาคือรู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่ร่วมกับครอบครัวร้อยละ 84.0 และมีการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ร่วมกับครอบครัว ร้อยละ 68.9 ครอบครัวที่พอจะสามารถจัดการแก้ไขปัญหาทางการเงินและดูแลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้ ร้อยละ 61.4 และครอบครัวที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างมาก เพราะแทบไม่สามารถจัดการด้านการเงินและค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้เลยมีร้อยละ 14.7 อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่น่ากังวล คือ มีครอบครัวไทยเพียงร้อยละ 23.4 เท่านั้น ที่ไม่มีปัญหาด้านการเงินและสามารถดูแลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้ในภาวะวิกฤตนี้
ทั้งนี้ มีครอบครัวเกือบ 2 ใน 3 หรือ ร้อยละ 65.5 มีความเชื่อถือข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข และมีความเชื่อมั่นการทำงานของรัฐรวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ ที่สำคัญ จากภาวะวิกฤตนี้ ทำให้ประชาชนกว่า 6 ใน 10 หรือ ร้อยละ 60.1 มีการใช้ชีวิตความเป็นอยู่แบบพอเพียงมากขึ้น จะเห็นได้ว่าวิกฤติโรคระบาด COVID-19 ได้ส่งผล
กระทบทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และระดับประเทศ ซึ่งบทบาทของครอบครัวไทย มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้รอดพ้นจากภาวะวิกฤตนี้ได้ ด้วยความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกในครอบครัวทุกคน คือ การอยู่กับบ้าน Stay at home ออกนอกบ้านเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
“นอกจากเป็นโอกาสที่ดีที่ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน มีความรัก ความอบอุ่น และได้เรียนรู้กันให้มากขึ้น ยังเป็นการปฏิบัติตามมาตรการรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” สนับสนุนให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤตโรคระบาดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญ เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน เพื่อความปลอดภัยของคนไทยทุกคน”
- Kick Off โครงการพม. “เราไม่ทิ้งกัน”
ด้าน พัชรี อาระยะกุล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวเสริมว่า รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนทุกคน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีความรุนแรงในวงกว้างมากขึ้น และได้ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อประชาชนและกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
สำหรับกรุงเทพมหานคร มีลักษณะชุมชนเมืองที่มีประชาชนอาศัยอยู่ อย่างหนาแน่น โดยมีชุมชนที่อยู่ในความดูแลของ การเคหะแห่งชาติ (กคช.) และ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. จำนวนทั้งสิ้น 286 ชุมชน กำลังเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้ขับเคลื่อน โครงการ พม. “เราไม่ทิ้งกัน” ภายใต้แนวคิด “สำรวจให้พบ จบที่ชุมชน” เพื่อเร่งช่วยเหลือผู้สูงอายุ เด็ก และคนพิการที่ถูกทอดทิ้งไม่มีคนดูแล ผู้ที่ตกงาน ผู้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัย ผู้ที่ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ผู้ที่ขาดแคลนอาหาร แม่เลี้ยงเดี่ยว แม่ที่ไม่มีค่านมลูก ผู้ปกครองที่ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมบุตรหลาน ผู้ที่ไม่ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท ตามเงื่อนไขของรัฐบาล และครอบครัวได้รับผลกระทบจากการกักตัวกลุ่มเสี่ยง รวมทั้งผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนด้านต่างๆ ในชุมชน
จากการรวบรวมข้อมูล 286 ชุมชน ทั้งรายชื่อชุมชนและข้อมูลพื้นฐานทั่วไป รายชื่อผู้ประสานงานชุมชน พร้อมดำเนินการสำรวจข้อมูลเพิ่มเติม ได้แก่ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค สภาพปัญหาและความต้องการ สวัสดิการสังคมที่ได้รับแล้วจากรัฐและกระทรวง พม. และผลการดำเนินการแก้ไขปัญหา เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาสังเคราะห์และวางแผนในการลงพื้นที่ช่วยเหลือชุมชนตามระดับความเร่งด่วนของปัญหาและความต้องการ
ทั้งนี้ พม. ได้เตรียมกิจกรรมการช่วยเหลือเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างปลอดภัยด้านต่างๆ ในชุมชน ได้แก่ 1) ความปลอดภัยด้านที่พักอาศัย ด้วยการดูแลสมาชิกครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการกักตัวกลุ่มเสี่ยง 2) ความปลอดภัยด้านอาหาร ด้วยการตั้งโรงอาหารกลางในชุมชน 3) ความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการให้ความรู้และการกำกับดูแลชุมชนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในชุมชน 4) ความปลอดภัยด้านการป้องกัน ด้วยการมีเวชภัณฑ์ในการดูแลรักษาความสะอาด และ 5) ความปลอดภัยด้านเศรษฐกิจ ด้วยการส่งเสริมและฝึกอาชีพเพื่อสร้างรายได้อย่างมั่นคง
พัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนขับเคลื่อน โครงการ พม. “เราไม่ทิ้งกัน” จะมีการลงพื้นที่เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในชุมชนได้รับทราบและเข้ามามีส่วนร่วมในการแจ้งข้อมูลของตนเองและครอบครัวกับผู้ประสานงานชุมชน ด้วยแผ่นป้ายและโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ หอกระจายข่าวในชุมชน และสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งภายในสัปดาห์นี้จะทำให้ทราบข้อมูลทั้งหมดของ 286 ชุมชน เพื่อนำไปจัดทำแผนฟื้นฟูชุมชน และจะได้ลงพื้นที่ชุมชนแรกและชุมชน ในสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป คาดว่าจะลงพื้นที่จนครบ 286 ชุมชน ภายในเดือนพฤษภาคม 2563 เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเร็วที่สุด อีกทั้งสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการพึ่งพาตนองได้ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาวต่อไป
- พส. เปิดจุดคัดกรองคนไร้บ้าน
ด้าน จินตนา จันทร์บำรุง ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. โดย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้ดำเนินการเปิดจุดคัดกรองกลุ่มเป้าหมายคนไร้บ้าน คนเร่ร่อน คนไร้ที่พึ่ง และผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก โดยศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง กรุงเทพมหานคร จัดบริการคัดกรองโรค ประเมินกลุ่มเป้าหมายเบื้องต้น และให้บริการที่พักพิง และปัจจัยสี่ในสภาวะวิกฤตินี้ ซึ่งได้ดำเนินการให้การคุ้มครองตามมาตรการของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
“ผลการดำเนินงาน นับตั้งแต่เริ่มเปิดจุดคัดกรอง เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 จนถึง 13 เมษายน 2563 มียอดผู้ใช้บริการสะสม 95 ราย เป็น ชาย 71 ราย หญิง 24 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นคนไร้ที่พึ่ง ไร้บ้าน และอยู่ในสภาวะยากลำบาก เช่น ตกรถ หรือถูกพักงานไม่มีที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ ยังมีกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้บริการ ที่ยังคงพักพิงในจุดคัดกรองดินแดง อยู่จำนวน 22 คน เป็นชาย 17 ราย และหญิง 15 ราย” นางจินตนา กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคม หรือพบเห็นผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถโทรแจ้ง ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง