‘ผบ.ทสส.’ ไม่ชี้ชัดขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินถึงสิ้นเดือน พ.ค.
"ผบ.ทสส." ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ใน ศปม.ระบุ พอใจภาพรวม กระบวนการรับผู้โดยสารกลับเร็วขึ้น โยน “นายกฯ” พิจารณาขยายเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถึงสิ้นเดือน พ.ค.
เมื่อวันที่ 16 เม.ย.63 พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) ลงพื้นที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (Emergency Operation Center) ในท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ปฏิบัติหน้าที่ใน ศปม. รวมไปถึงพบกับกับผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ก่อนที่จะพาไปยังสถานที่ควบคุมแห่งรัฐ (State Quarantine)
โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มปรับกระบวนการรับคนไทยที่กลับจากต่างประเทศให้มีขั้นตอนที่สั้นลง และใช้ระยะเวลาในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้น้อยที่สด ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่อาจมีรายละเอียดบางอย่างต้องปรับปรุงอยู่บ้าง โดยเฉลี่ยใช้เวลาตั้งแต่ลงเครื่อง จนออกจากประตูเกท และขึ้นรถรับส่งใช้เวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งยอมรับว่า เป็นที่น่าพอใจ พร้อมยืนยันได้ดำเนินการทุกอย่างโดยถือหลัก เรายินดีต้อนรับคนไทย ที่เดินทางกลับมา และทำให้ประชาชนรู้สึกถึงความปลอดภัย
เมื่อถามถึงการพิจารณาขยายประกาศเวลาการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่จะครบ ในวันที่ 30 เมษายนนี้ จะมีการต่ออีกถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม หรือไม่ ในขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงแล้ว พล.อ.พรพิพัฒน์ กล่าวว่า เป็นอำนาจพิจารณาของนายกรัฐมนตรี โดยยังไม่สามารถตอบได้ตอนนี้ เพราะเรื่องนี้ต้องอาศัยตัวชี้วัดหลายตัวถึงจะบอกได้ว่า ควรจะผ่อนผันหรือเข้มงวดมากขึ้น แต่ทั้งหมดคนไทยต้องเข้มงวดปฏิบัติตามมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม ส่วนรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี ก็คงจะคำนึงถึงหลายปัจจัย ทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ ซึ่งคงต้องใช้ระยะเวลาประเมินพิจารณา
เมื่อถามว่า นับแต่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตั้งแต่ 26 มีนาคม มีข้อกังวลหรือไม่ พล.อ.พรพิพัฒน์ กล่าวว่า เมื่อมาตรการดำเนินไปสักระยะหนึ่งแล้ว จะเกิดความเคยชิน และละเลยโดยไม่รู้ตัว ไม่ระมัดระวัง จึงอยากให้ทุกคนระลึกเสมอว่า ที่เหตุการณ์ของประเทศไทยดีขึ้นนั้น เพราะว่าความร่วมมือของทุกคน ย้ำให้ทุกคนรักษาวินัย อย่าเพิ่งหย่อนยานทางสังคมอย่างที่เคยทำ
เมื่อถามว่า ขณะนี้ยังพบตัวเลขคดีผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ต้องเพิ่มโทษหรือไม่ หัวหน้า ศปม.ระบุว่า เป็นเรื่องของจิตสำนึก และสังคมไทยในเวลานี้ ควรจะอยู่ด้วยความห่วงใย การกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนอาจไปเพิ่มความเสี่ยงทำให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบ ซึ่งการจับกุมเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหน้าที่อยากทำ จึงเรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันตักเตือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ เวลา 13.35 น. มีเที่ยวบิน Q2 9350 จากมัลดีฟส์ โดยมีประชาชนคนไทยโดยสารมา จำนวน 55 คน ขณะที่ในช่วงเช้าวันเดียวกัน มีคนไทยเดินทางกลับจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อีก 119 คน รวม 154 คน ซึ่งทั้งหมดจะเข้าสู่สถานที่ควบคุมแห่งรัฐ หรือ State Quarantine ที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ สุขุมวิท ระยะเวลา 14 วัน
สำหรับคนไทย ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ โดยก่อนจะขึ้นรถ จะต้องนำสัมภาระที่ติดตัวมาทุกชิ้น ให้เจ้าหน้าที่ทำการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ โดยรถบัสที่จอดจะมีระยะห่าง รับผู้โดยสารคันละ 20 คน เท่านั้น และเมื่อถึงสถานที่ควบคุมแห่งรัฐ ก็จะต้องถูกคัดกรองโรคอีกครั้งหนึ่ง ก่อนเข้าสู่กระบวนการกักตัว 14 วัน ตามมาตรการของรัฐบาล
สำหรับในวันพรุ่งนี้วันที่ 17 เมษายน จะมีคนไทยเดินทางกลับจากบังกลาเทศ อีก 35 คน นอกจากนี้ นักเรียนทุน AFS จากประเทศสหรัฐอเมริกาและคนไทย จำนวน 129 คน และในวันที่ 18 เมษายน อีก 123 คน ส่วนวันที่ 19 เมษายน อีก 160 คน