เครือข่ายต้านสารพิษเกษตรยื่นคัดค้านการเลื่อนแบนสารฯ

เครือข่ายต้านสารพิษเกษตรยื่นคัดค้านการเลื่อนแบนสารฯ

กก.วัตถุอันตรายเตรียมนัดประชุมพิจารณาวันที่ 30 เมษายนนี้

วันนี้ เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง โดยนางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ เป็นตัวแทนยื่นหนังสือที่กระทรวงอุตสาหกรรม ถึงนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะประธานคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพื่อคัดค้านการเลื่อนการแบนสารพิษดังกล่าว โดยมีนางรัตนา รักษ์ตระกูล ผู้อำนวยการกองบริหารจัดการวัตถุอันตราย กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้มารับมอบหนังสือแทน

ทั้งนี้ เนื่องจากมีกระแสข่าวว่านายสุริยะ เตรียมจะหารือเพื่อเลื่อนการแบนสารพิษกำจัดศัตรูพืช 2 ชนิด ได้แก่พาราควอต และคลอร์ไพริฟอสออกไป จากวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ออกไป

ทั้งสองสาร เป็นสารในสามชนิดที่มีการเรียกร้องให้มีการแบนในตลาดเนื่องจากความเป็นพิษสูงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติในปลายปีที่แล้ว ให้เลื่อนการแบนสารทั้งสองชนิดในทันที ไปเป็นวันที่ 1 มิถุนายน 2563 โดยให้มีการออกประกาศกำหนดวัตถุอันตรายพาราควอต และคลอร์ไพริฟอสเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 กำหนดระยะเวลาใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2563

สำหรับวัตถุอันตรายอีกชนิดคือ ไกลโฟเชต ให้ใช้มาตรการจำกัดการใช้ตามมติคณะกรรมการวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ 23 พ.ค.2561

ทั้งนี้ ยังมอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการจัดทำมาตรการรองรับในการหาสารทดแทน หรือวิธีการอื่นที่หมาะสมสำหรับวัตถุอันตรายพาราควอตและคลอร์ไพริฟอส รวมถึงมาตรการในการลดผลระทบที่จะเกิดขึ้นต่อภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอคณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณาภายในระยะเวลา 4 เดือนนับจากวันที่มีมติ

อย่างไรก็ตาม เครือข่ายฯ พบว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน มีหนังสือจากนายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อขอขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศในการกำหนดให้พาราควอตและคลอร์ไพริฟอสเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 จาก 1 มิถุนายน 2563 เป็น 31 ธันวาคม 2563 หรือจนกว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าจะสิ้นสุดลง
นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการธุรกิจเคมีเกษตรติดตามการออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียน ใบอนุญาตผลิตวัตถุอันตราย และการต่ออายุวัตถุอันตรายพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต เครือข่ายฯ ระบุ

เครือข่ายฯ จึงเห็นว่า ข้ออ้างของสภาหอการค้าฯ ที่ให้ขยายเวลาการแบนพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสออกไปเป็นปลายปี 2563 เพราะปัญหาการตกค้างในสินค้านำเข้าทีอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตและอุตสาหกรรมในประเทศฟังไม่ขึ้น

เนื่องจากหลายประเทศทั่วโลกแบนพาราควอตมากว่าทศวรรษ หรือเร็วๆนี้ สหภาพยุโรปประกาศแบนคลอร์ไพริฟอสตั้งแต่วันที่ 1 เดือนกุมภาพันธ์ 2563 หรือเวียดนามซึ่งแบนพาราควอตเมื่อปี 2560 และแบนคลอร์ไพริฟอสเมื่อต้นปี 2562 เป็นต้น และไม่มีประเทศใดอ้างถึงปัญหาดังกล่าว แม้กระทั่งจดหมายของสหรัฐเมื่อปลายปีที่แล้ว ที่ส่งมายังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อคัดค้านการแบนไกลโฟเซต แต่ก็ไม่ได้คัดค้านการแบนและอ้างการตกค้างของพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสแต่ประการใด

เครือข่ายฯ ไม่เห็นด้วยกับออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียน ใบอนุญาตผลิตวัตถุอันตราย และการต่ออายุวัตถุอันตรายเพิ่มเติม ทั้งนี้เนื่องจากเหตุผลหนึ่งที่คณะกรรมการวัตถุอันตราย วันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 พิจารณาเลื่อนระยะเวลาการแบนออกไปอีก 6 เดือน เป็น 1 มิถุนายน 2563 เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนสามารถจำหน่ายสต็อคสารเคมีกำจัดศัตรูพืชคงค้าง โดยรัฐบาลไม่ต้องเสียค่าทำลาย

การนำเข้ามาเพิ่มเติมเป็นการกระทำที่ขัดกับมติและเจตนาของการแบนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูงของคณะกรรมการฯเอง และจะถูกครหาว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเอกชน โดยปราศจากเหตุผลที่ชอบธรรมรองรับ

เครือข่ายฯ ยืนยันข้อเรียกร้องให้คณะกรรมการวัตถุอันตราย กระทรวงอุตสาหกรรม กรมวิชาการเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการออกประกาศกระทรวงว่าด้วยบัญชีรายชื่อวัตถุอันตรายและออกมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการวัตถุอันตราย ในการประชุม เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นมติโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งลงมติให้ปรับวัตถุอันตรายพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมวิชาการเกษตร จากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4

" ในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญวิกฤต COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สังคมและเศรษฐกิจ เครือข่ายฯหวังว่าจะไม่เกิดการซ้ำเติมปัญหาสุขภาพทั้งของเกษตรกรและผู้บริโภค โดยยื้อการแบนสารพิษร้ายแรงทั้ง 3 ชนิดออกไป
“ภายใต้วิกฤตนี้ ประเทศต้องทบทวนการผลิตพืชอุตสาหกรรมเชิงเดี่ยวที่ใช้สารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง ปรับเปลี่ยนเป็นเกษตรกรรมผสมผสานที่ลดการใช้สารเคมี ลดต้นทุนการผลิต และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารมากยิ่งขึ้น” เครือข่ายฯ ระบุในหนังสือ

ทั้งนี้ นายสุริยะได้ออกมาให้ข่าวว่าจะมีการเรียกประชุมหารือในเรื่องดังกล่าวในวันพฤหัสนี้ โดยตัวแทนกระทรวงกล่าวว่า จะนำข้อเสนอของเครือข่ายฯเข้าพิจารณาในที่ประชุมด้วย