'ก้าวหน้า' ยันระดมเงินบริจาคผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์กฎหมายไม่ห้าม
"ก้าวหน้า" ยันระดมเงินบริจาคผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์กฎหมายไม่ห้าม เตรียมเดินหน้าทำเฟสสอง
น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายศรีสุรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ร้องเรียนกรมการปกครองตรวจสอบให้ตรวจสอบการระดมทุนรับบริจาคเมื่อครั้งที่ผ่านมา ว่า ก่อนที่จะเปิดระดมทุนเราได้ตรวจสอบ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ.2487 แล้วว่า การเรี่ยไรไม่จำเป็นต้องของอนุญาตทุกกรณี กรณีที่ต้องขออนุญาตคือ การเรี่ยรายบนถนนหลวง หรือการเรี่ยรายโดยวิทยุกระจายเสียง หรือเครื่องเปล่งเสียง ซึ่งตาม พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ เฟซบุ๊กไลฟ์ไม่ได้ถือเป็นวิทยุกระจายเสียง ฉะนั้นเรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต นอกจากนี้วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมที่เป็นการเรี่ยรายก็ไม่ได้นำเงินไปทำกิจกรรมที่เสื่อมเสียศีลธรรม หรือเป็นภัยต่อความั่นคงของประเทศ จึงไม่เข้าข่ายผิด พ.ร.บ. ควบคุมการเรี่ยไร แน่นอน
เมื่อถามว่า หากมีการดำเนินทางคดีจะทำอย่างไร น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับผู้ที่ตรวจสอบเรื่อง ทางเราไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ยินดีด้วยซ้ำที่มีผู้มาตรวจสอบ เพราะการทำโครงการระดมทุนเช่นนี้ต้องมีความโปร่งใส และเรายืนยันว่าทำทุกอย่างด้วยความโปร่งใสและยินดีให้ตรวสอบ เมื่อโอนเงินให้ผู้ได้รับสิทธิ์เรียบร้อย เราก็จะเปิดเผยรายชื่อของผู้ที่ได้รับการโอนเงินทั้งหมด เพื่อให้เห็นว่าผู้ที่ได้รับเงินคือผู้ที่ขอรับสิทธิ์เข้ามาจริงๆ ไม่ได้เป็นการมุบมิบเงินของประชาชนที่บริจาคเข้ามา
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่มีหลายฝ่ายกังวลเรื่องการที่ประชาชนต้องนำข้อมูลส่วนตัวมาโพสต์แบบสาธารณะ ซึ่งอาจจะมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยในอนาคตนั้นแน่นอนอยู่แล้วว่าเรามีความกังวลเรื่องนี้และยืนยันว่า เรื่องข้อมูลส่วนตัวเป็นเรื่องสำคัญ และเราจะต้องปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ที่ขอรับสิทธิ์ ทั้งนี้เราทราบอยู่แล้วว่า หากเปิดระดมทุนแบบนี้ ความต้องการจะต้องมีจำนวนเยอะมาก และจำนวน 3 ล้านคอมเมนต์ก็เป็นตัวเลขที่น่าตกใจ และสะท้อนว่าคนที่ลำบากต้องการความช่วยเหลือ หรือคนที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ มีมากมายมหาศาลขนาดไหน ซึ่งเราก็เสียใจที่ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ทั้งหมด เพราะเราไม่ใช่รัฐบาล ที่บริหารภาษีจำนวนเป็นล้านล้านบาทต่อปี เราก็ทำเท่าที่ทำได้ ถึงแม้ว่า จะถูกวิจารณ์หรือถูกโจมตีทางการเมือง ถ้าเทียบดีกับการอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย กับการออกมาทำแบบนี้แล้วโดนว่า แต่สามารถช่วยประชาชนได้ 2,427 ครัวเรือน เราก็ถือว่าคุ้มค่า
ส่วนจะมีโครงการช่วยเหลือประชาชนต่อจากนี้อีกหรือไม่ น.ส.พรรณิการ์ เปิดเผยว่า เราจำเป็นต้องมีโครงการที่สอง เพราะยังไม่สามารถปิดบัญชีได้ เนื่องจากยังโอนเงินให้ประชาชนไม่เสร็จ จึงตั้งใจว่าจะใช้บัญชีนี้โอนให้หมดทีเดียว ไม่อยากย้ายไปหลายบัญชี เกรงว่าจะเกิดข้อครหาเรื่องความโปร่งใส ขณะนี้จึงยังมีเงินบริจาคไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่เราจำเป็นต้องปิดยอดการการบริจาคเงิน 3,000 บาท ในเวลา 14.00 น. ของวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อให้ได้ตัวเลขผู้รับสิทธิ์ที่แน่นอน ดังนั้นจำนวนที่เกินจากวันที่ 3 พฤษภาคม เราจะยกยอดนำไปทำโครงการช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อไป ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดรายละเอียดอย่างชัดเจน
น.ส.พรรณิการ์ เปิดเผยถึงกลุ่มผู้ร่วมบริจาคเงิน ว่า เป็นเรื่องน่ายินดีมากที่เราได้เห็นว่า มากกว่า 95% ของคนที่บริจาคเงินในครั้งนี้มาจากคนทั่วไป มียอดบริจาคตั้งแต่ 10-500 บาทต่อครั้ง ส่วนยอดตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไปจนถึงหลักหมื่น หรือภาคธุรกิจขนาดใหญ่ถือว่าน้อยมาก คือ มีไม่เกิน 20 ครั้ง สะท้อนว่า เป็นการช่วยเหลือกันของประชาชนคนธรรมดาที่ไม่ได้มีรายได้สูง ที่อยากจะช่วยเหลือเพื่อร่วมชาติ และคิดว่าอาจจะเดือดร้อนกว่าตัวเอง