แบ่ง 2 ทีม ล่ามือยิงเลเซอร์ 'ตามหาความจริง'
ประสาน "คณะก้าวหน้า" หยุดทำ - ส.ส.ก้าวไกล ลั่นหยุดละเมิดสิทธิ ด้าน "กลาโหม" ยังไร้ข้อหาแจ้งความเอาผิด
ความคืบหน้าการติดตาม กรณียิงเลเซอร์ข้อความตามสถานที่ต่างๆ พร้อมติดแฮชแท็ก #ตามหาความจริง เหตุการณ์สลายการชุมนุม นปช.ปี 2553 ล่าสุด วานนี้(13 พ.ค.)พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) เปิดเผยภายหลังการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 12 พ.ค.กรณีคณะก้าวหน้า ออกมายอมรับว่าเป็นผู้ทำแคมเปญ #ตามหาความจริง โดยการยิงเลเซอร์ตามสถานที่ต่างๆ ว่า
เรื่องนี้ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผ.บชน.) ไปพิจารณาว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ ในฐานความผิดใดยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีฝ่ายกฎหมาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าติดตาม และกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด
ส่วนจะมีการเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องที่ออกมาประกาศตัวว่า เป็นผู้กระทำหรือไม่นั้น รายละเอียดทั้งหมดได้มอบหมายให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลไปดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่าพฤติกรรมเบื้องต้นเข้าฐานความผิดยุยงปลุกปั่นหรือไม่ รอง ผบ.ตร.ย้ำว่าเรื่องทั้งหมดมอบหมายให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง จึงจะเป็นผู้พิจารณา
กลาโหมยังไร้ข้อหาแจ้งความเอาผิด
ทั้งนี้มีรายงานว่า ทางกระทรวงกลาโหม รวมถึงสถานที่ต่าง ๆ ที่โดนยิงเลเซอร์ใส่ ยังไม่มีการส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาร้องทุกข์กล่าวโทษ ล่าสุดทางตำรวจเองก็ได้มีการขอความร่วมมือให้คณะก้าวหน้าหยุดการกระทำในลักษณะนี้แล้ว ส่วนกรณีที่คณะก้าวหน้าจะจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมือง ทางตำรวจก็จะต้องเข้าไปดูแลความปลอดภัยด้วยเช่นกัน
รายงานข่าว ยังระบุว่า ตำรวจได้แบ่งงานกันทำเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสืบสวน ที่จะรวบรวมข้อมูล หลักฐาน วิธีการการกระทำของกลุ่มคนดังกล่าว เพื่อสืบหาเบาะแส และตัวผู้กระทำ ควบคู่กับชุดกฎหมาย ที่จะไปดูประมวลตัวบทกฎหมายว่าการกระทำของกลุ่มคนดังกล่าวนั้น เข้าข่ายความผิดเรื่องใดหรือไม่ ซึ่งจนถึงขณะนี้เองยังไม่พบว่าเข้าข่ายความผิด เป็นเพียงการรวบรวมหลักฐานเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลหากมีการกระทำลักษณะคล้ายกันซ้ำเท่านั้น
“ประวิตร”โยนฝ่ายมั่นคงเอาผิด
ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ากรณีมีผู้ยอมรับว่าเป็นผู้ยิงเลเซอร์ตามสถานที่เชิงสัญลักษณ์ครบรอบ 10 ปีเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ว่าตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบต้องดูว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่และไม่รู้ว่าจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวต่อเนื่องไปอีกหรือไม่โดยต้องปล่อยให้เจ้าหน้าที่ติดตามตรวจสอบ
ทั้งนี้ที่ผ่านมามีการดูแลสถานการณ์ด้านความมั่นคงมาโดยตลอดแต่เบื้องต้นยังตอบไม่ได้ว่ากรณีนี้ผิดหรือไม่ต้องดูที่กฎหมายซึ่งเจ้าหน้าที่ เป็นฝ่ายดำเนินการส่วนมีความเชื่อมโยงกับพฤติกรรมที่คล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดในต่างประเทศหรือไม่นั้นพล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ทราบ
“ธรรมนัส”ดอดพบบิ๊กตร.
เช่นเดียวกับร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ เดินทางเข้าพบผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อหารือและประสานขอความร่วมมือกับตำรวจทั่วประเทศ เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 โดยปฏิเสธไม่ได้เข้ามาหารือกับตำรวจระดับสูงถึงกรณีที่มีกลุ่มก้าวหน้าจัดแคมเปนยิงเลเซอร์ ตามหาความจริงในหลายพื้นที่แต่อย่างใด
พร้อมระบุเพียงว่าการกระทำดังกล่าวถือว่าไม่เหมาะสม และเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในรายละเอียดยังไม่ทราบแม้จะมีความใกล้กับฝ่ายความมั่นคง
“โรม”ชี้เข้าข่ายละเมิดสิทธิ
ส่วนนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีฝ่ายความมั่นคงล่ามือยิงเลเซอร์ข้อความตามหาความจริงในข้อหาปลุกปั่นว่า ข้อความที่ยิงเลเซอร์ มีส่วนไหนที่ไปสร้างความเสียหายต่อตัวอาคารและสถานที่หรือไม่ เป็นการสร้างความแตกแยกและกระทบอะไรกับความมั่นคงของชาติ หากว่ากันตามกฎหมายไม่มีข้อหาใดที่จะมาดำเนินคดีได้ ตนสงสัยว่าการออกมาแบบนี้ของฝ่ายความมั่นคงเหมือนเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพและข่มขู่ประชาชนหรือไม่
ส่วนกรณีที่มีการพาดพิงว่าพรรคก้าวไกลเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และถูกคณะก้าวหน้าครอบงำ ตนขอย้ำอีกครั้งว่า ส.ส.ของพรรคก้าวไกล และสมาชิกของคณะก้าวหน้า คืออดีตสมาชิกของพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบไปแล้ว ไม่แปลกที่เราจะมีความเห็นที่ตรงกัน แต่เป็นคนละเรื่องกับการครอบงำพรรค การที่รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐออกมาพูดแบบนั้นแสดงว่าไม่เข้าใจว่าการถูกครอบงำกับความเห็นที่เหมือนกันเป็นอย่างไร
ตนถามกลับว่า พรรคพลังประชารัฐ ถูกครอบงำโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมหรือไม่ เพราะทุกอย่างเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ยืนยันว่าเราไม่ได้ถูกนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจและคณะก้าวหน้าครอบงำ แต่อุดมการณ์และแนวทางการทำงานของเราตรงกันเพราะเรามาจากอดีตอนาคตใหม่เหมือนกัน
สก.สส.ยันไม่กระทบความมั่นคง
ขณะที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและเลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) กล่าวว่ารัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 34 ให้การคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นการพูดและการเขียนการพิมพ์การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีการจำกัดสิทธิเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำมิได้
กรณีดังกล่าวหากมองด้วยความคิดที่ปกติปราศจากอคติใดๆก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องของการแสดงออกทางความคิดเห็นคล้ายกับการแสดงนิทรรศการหรือการสื่อความหมายสะท้อนเรื่องราวต่างๆอันเป็นเสรีภาพแห่งหนึ่ง จึงไม่น่าจะกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน ในทางตรงกันข้ามหากมีการปิดบังความจริงหรือมีกระบวนการบิดเบือนความจริง ประชาชนมีสิทธิ์ในการแสดงออกหรือต่อต้านได้ตามรัฐธรรมนูญเพราะถือเป็นเสรีภาพในการแสดงออกอย่างหนึ่งที่ต้องไม่ถูกจำกัดจากการกระทำใดๆ
“ขัตติยา”โพสต์รำลึกเสธ.แดง
ส่วนน.ส.ขัตติยา สวัสดิผลบุตรสาวพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดงโพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวเพื่อรำลึก 10 ปีการจากไป พล.ต.ขัตติยะ ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อ วันตที่ 13 พ.ค.2553ว่า 10ปีผ่านไป คดีของพล.ต.ขัตติยะไม่มีความคืบหน้า แต่ผู้มีอำนาจยังใช้อำนาจตนเพื่อปกป้องพวกพ้องและรักษาอำนาจของตัวเองไว้โดยไม่สนหัวประชาชนอยู่เหมือนเดิม
"คุณพ่อก็ได้ชื่อว่าเป็นทหารของประชาชน ทหารที่ได้ทั้งความรัก ความศรัทธา และความเคารพจากประชาชน แค่นี้ก็ทำให้ลูกสาวภาคภูมิใจเป็นที่สุดแล้วคิดถึงคุณพ่อทุกวัน” น.ส.ขัตติยา ระบุ
คกก.ญาติวีรชนหวั่นซ้ำรอยปี35
ด้านนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภาฯ35กล่าวว่าในวาระครบ28ปีของเหตุการณ์พฤษภาทมิฬขอแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ของบ้านเมืองที่แนวโน้มจะซ้ำรอยประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี2535ซึ่งห่วงว่าจะเกิดความไม่สงบและจะทำให้คนเจ็บและคนตายอีกเป็นจำนวนมากมาจากการดำเนินการของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ที่มีลักษณะการสืบทอดอำนาจไม่ต่างจากรัฐบาลพล.อ.สุจินดา คราประยูร
ส่วนการคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินจะเห็นได้ว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ไม่มีความสามารถจะบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและกำลังนำประเทศ
“ผมขอเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและจัดให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประเทศไทยจะได้ฟื้นกลับมาแข่งขันกับประเทศอื่นได้อีกครั้งประชาชนจะได้กลับมามีความหวังอีกครั้งหนึ่ง”นายอดุลย์กล่าว
“วรงค์”ชี้ความจริง 8 ประเด็น
ขณะที่นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.)โพสต์เฟซบุ๊คหัวข้อ“ความจริงที่ตามหา”โดยใน8 ประเด็นอ้างอิงจากรายงานของคอป.
1.การปราศรัยมีลักษณะเป็นการยั่วยุชี้นำหรือส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรง 2.วันที่10เมษาที่สี่แยกคอกวัวและหน้าโรงเรียนสตรีวิทยามีผู้เสียชีวิต26คนเป็นพลเรือน21คนรวมสื่อต่างประเทศคือ1คนทหาร5คนบาดเจ็บรวมกว่า864คนในจำนวนนี้เป็นทหารกว่า300คนพบหลักฐานว่ามีชายชุดดำใช้อาวุธสงครามปฏิบัติการเป็นเหตุให้พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เสียชีวิตด้วย
3.มีหลักฐานว่าเสียชีวิตเพราะชายชุดดำ9คนแยกเป็นทหาร6คนตำรวจ2คนและประชาชนกลุ่มคนรักสีลม1คน 4.การปฏิบัติการของชายชุดดำได้รับการสนับสนุนจากการ์ดนปช.บางคน5.วันที่29เม.ย53มีการนำคนเสื้อแดงบุกเข้าตรวจค้นพื้นที่โรงพยาบาลจุฬาฯอ้างเป็นแหล่งซ่องสุมทหาร
6.ไฟไหม้จากห้างCENแล้วลามไปยังห้างเซ็นทรัลเวิลด์ซึ่งในระหว่างไฟไหม้นั้นมีผู้ชุมนุมอยู่และทหารยังไม่ได้เข้าไป 7.ในปี2552ยังมีการบุกเข้าไปทำลายการประชุมอาเซียนซัมมิทที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีชรีสอร์ตพัทยาจ.ชลบุรีเมื่อวันที่11เม.ย. 2552 8.ทราบหรือไม่ว่าการชุมนุมของกปปส.ศูนย์เอราวัณได้สรุปยอดรวมผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการชุมนุมทางการเมืองทั้งสิ้นถึง807รายมีบาดเจ็บ782รายและเสียชีวิต25รายแต่ไม่เคยมีแกนนำรายใดเอาผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตมาปลุกระดมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเลย
คณะก้าวไกลควรหยุดหลอกตัวเองหยุดค้าความขัดแย้งหยุดเคียดแค้นหยุดจมปลักกับอดีตหยุดความคิดที่จะให้วิถีไทยต้องไปตามตะวันตกหยุดการปลุกระดมเพราะทุกครั้งเมื่อมีการชุมนุมไม่ว่าฝ่ายใดคนที่สูญเสียและเป็นเหยื่อมากที่สุดไม่ใช่แกนนำแต่เป็นประชาชน
#ความจริงที่ตามหา#หยุดเอาประชาชนมาเป็นเหยื่อ