ดาวโจนส์ปิดบวกในกรอบแคบเหตุวิตกสหรัฐขัดแย้งการค้าจีน
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดตลาดวันศุกร์ (15พ.ค.)ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย โดยถูกกดดันจากยอดค้าปลีกที่ซบเซาของสหรัฐ รวมทั้งความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 60.08 จุด หรือ 0.25% ปิดที่ 23,685.42 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี500 เพิ่มขึ้น 11.2 จุด หรือ 0.39% ปิดที่ 2,863.7 จุด และดัชนีแนสแด็ก ปรับตัวขึ้น 70.84 จุด หรือ 0.79% ปิดที่ 9,014.56 จุด
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกทรุดตัวลง 16.4% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการดิ่งลงหนักที่สุดนับตั้งแต่ที่รัฐบาลเริ่มมีการเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าวตั้งแต่ปี 2535 และย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะร่วงลง 12.3% หลังจากลดลง 8.3% ในเดือนมี.ค.
ทั้งนี้ ยอดค้าปลีกได้รับผลกระทบจากการที่รัฐบาลใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้มีการปิดร้านค้า ขณะที่ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน โดยลดการใช้จ่ายและลดการเดินทาง
ดัชนีดาวโจนส์ยังถูกกดดัน ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่สหรัฐออกกฎเพื่อสกัดการส่งออกเซมิคอนดัคเตอร์ให้แก่บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี ซึ่งเป็นบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่ของจีน
แหล่งข่าววงในของจีนที่ใกล้ชิดกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ระบุว่า จีนเตรียมตอบโต้บริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐ หากสหรัฐยังคงใช้มาตรการกีดกันบริษัทหัวเว่ย
นายหู สีจิน บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ โกลบอล ไทมส์ของรัฐบาลจีน ระบุว่า จีนจะทำการสอบสวนบริษัทสหรัฐ ซึ่งรวมถึงควอลคอมม์, ซิสโก ซิสเต็มส์ และแอปเปิล หากสหรัฐยังคงใช้มาตรการกีดกันไม่ให้หัวเว่ยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน
“เท่าที่ผมรู้ หากสหรัฐยังคงสกัดไม่ให้หัวเว่ยเข้าซื้อสินค้าด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ จีนก็จะสอบสวนบริษัทควอลคอมม์, ซิสโก และแอปเปิลตามรายชื่อใน ”unreliable entity list“ รวมทั้งระงับการซื้อเครื่องบินจากโบอิ้ง” ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
ทั้งนี้ นักลงทุนจำนวนมากในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทต่างก็ติดตามทวิตเตอร์ของนายหูเพื่อรับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับผลกระทบจากการที่นักลงทุนรายใหญ่หลายรายออกมาตั้งคำถามถึงภาวะฟองสบู่ในตลาด
ทั้งนี้ นายเดวิด เทปเปอร์ ซึ่งเป็นนักลงทุนประเภทมหาเศรษฐีพันล้าน และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทแอปปาลูซา แมเนจเมนท์ กล่าวว่า ขณะนี้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมีมูลค่าสูงเกินความเป็นจริงอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
นายเทปเปอร์ กล่าวว่า “ตลาดหุ้นมีมูลค่าสูงเกินจริงมากเป็นอันดับสองเท่าที่ผมเคยเห็นมา ซึ่งเป็นรองเพียงในปี 1999 โดยตลาดมีมูลค่าสูงมาก ขณะที่เฟดได้อัดฉีดเงินจำนวนมากเข้าตลาด”
ทั้งนี้ ค่า Forward P/E ratio อิงตามการประเมินสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้าพุ่งขึ้นเหนือระดับ 20 เท่า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2002
ด้านนายสแตนลีย์ ดรักเคนมิลเลอร์ ซึ่งเป็นผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์ กล่าวแสดงความเห็นว่า ขณะนี้ตลาดหุ้นมีมูลค่าเกินความเป็นจริงมากเป็นประวัติการณ์
นายดรักเคนมิลเลอร์ ยังกล่าวด้วยว่า ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมากเกินไปต่อข่าวความคืบหน้าของการผลิตยา remdesivir ซึ่งเป็นยาแอนตี้ไวรัสของบริษัทกิเลียด ไซอึนส์ในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19