ย้ำวัยแรงงานดูแลตนเอง ชี้อาการน้อยกว่าจะตรวจพบเชื้อ
ศบค. เผยพบผู้ป่วยรายใหม่ 3 ราย เป็นคนวัยทำงาน มีอาการน้อย ระบุ 65 จังหวัดในไทยไม่พบผู้ป่วยโควิด-19 ย้ำประชาชนดูแลตนเอง สวมใส่หน้ากากอนามัย/ผ้า ล้างมือบ่อยๆ รักษาระยะห่างระหว่างบุคคล ชี้ไทยยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่ได้
วันนี้ 26 พฤษภาคม 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19(ศบค.) กล่าวว่า ไทยมีผู้ป่วยรายใหม่ 3 ราย ทำให้มียอดสะสม 3,045 ราย หายแล้วกลับบ้านได้ 2,929 ราย มียอดผู้เสียชีวิต 57 ราย สำหรับผู้ป่วยรายใหม่รายแรกเป็นหญิงไทยอายุ 51 ปี มีอาชีพพนักงานนวด กลับมาจากประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม และเข้าพัก State Quarantine ที่ จ.ชลบุรี และตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม(ไม่มีอาการ)
ส่วนอีก 2 ราย เป็นชายไทยอายุ 45 ปี กลับมาจากประเทศคูเวต เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม และเข้าพัก State Quarantine ที่ จ.สมุทรปราการ โดยทั้ง 2 รายมีอาการไอ และตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ทั้ง 3 รายนี้ เป็นวัยแรงงานและมีอาการน้อย ซึ่งผ่านการตรวจเป็นระยะๆ แต่ก็ยังมีการพบเชื้อ ขอให้ดูแล เฝ้าระวังตนเอง
ทั้งนี้ สำหรับยอดสะสม 4สัปดาห์ล่าสุด พบว่า การเกิดอัตราป่วยสะสมเป็น 0 ติดต่อกัน มี 65 จังหวัด อัตราการป่วยสะสม 0.1-1 มี 10 จังหวัด อัตราการป่วยสะสม1.1-5 มี 1 จังหวัด อัตราการป่วยสะสมมากกว่า 1-10 มี 1 จังหวัด และอัตราการป่วยสะสมมากกว่า 10 มี 0 จังหวัด ซึ่งถือได้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในประเทศไทยดีขึ้นมาก เกิดจากความร่วมมือของพี่น้องประชาชน
ดังนั้น ตอนนี้เข้าสู่มาตรการผ่อนปรนจากระยะที่ 2 ไปสู่ระยะที่ 3 มีหลายกิจการ-กิจกรรมต่างๆ ได้กลับมาดำเนินการปกติ แต่ประชาชน ภาคธุรกิจ ทุกภาคส่วนต้องอย่าลืมใช้ชีวิตตามมาตรการ ป้องกันโรค สวมใส่หน้ากากอนามัย/ผ้า ล้างมือบ่อยๆ รักษาระยะห่างระหว่างบุคคล หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด ดูแลส่วนบุคคลให้ดีที่สุด
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า การนำคนไทยที่ตกค้างกลับไทยนั้น วันที่ 26 พฤษภาคมมีทั้งหมด 4 เที่ยวบิน ได้แก่ มาจากอิตาลี (คนไทยตกค้าง)37 คน มาเลเซีย (นักท่องเที่ยว คนทำงาน นักเรียน นักศึกษา และพระภิกษุ)149 คน ญี่ปุ่น (นักศึกษา คนไทยตกค้าง) 35 คน ไต้หวัน (แรงงาน นักศึกษา คนไทยตกค้าง)165 คน ส่วนวันที่ 27 พฤษภาคม มีทั้งหมด 4 เที่ยวบิน ได้แก่ เนเธอแลนด์ (คนไทยตกค้าง )41 คน แคนาดา (คนไทยตกค้าง) 100 คน อินโดนีเซีย (คนไทยตกค้าง) 175 คน และฮ่องกง (คนไทยตกค้าง) 85 คน
ส่วนสถิติคนไทยเดินทางกลับเข้าประเทศผ่านจุดผ่านแดนทางบก ลงทะเบียนไว้ 376 คน เดินทางเข้ารวม 242 คน เป็นผู้ลงทะเบียนไว้ 231 คน ไม่ได้ลงทะเบียน 11 คน แบ่งเป็น เมียนมา 3 คน มาเลเซีย 223 คน สปป.ลาว 9 คน และกัมพูชา 7 คน ซึ่งคนไทยที่จะเดินทางกลับเข้าประเทศไทยที่มาจากมาเลเซียนั้น ขณะนี้ มีผู้ที่เดินทางกลับมาจำนวนน้อยกว่าที่ลงทะเบียน
อยากฝากถึงพี่น้องคนไทยทุกคนที่ลงทะเบียน หรือประสงค์จะเดินทางกลับมาประเทศไทย ขอให้ติดต่อยังหน่วยงาน เพราะทางภาครัฐของไทยจะได้เตรียมสถานกักกันตัวของพื้นที่ เนื่องจากสถานที่กักกันตัวนั้น ได้มีการใช้โรงเรียนต่างๆ และในเดือนกรกฎาคมนี้ โรงเรียนจะเปิดภาคเทอม ก่อนเปิดเทอมต้องมีการทำความสะอาด เว้นระยะเวลาปลอดภัยของสถานที่ ทางภาครัฐต้องคืนโรงเรียนแก่เด็กๆ หากต้องการกลับมาจริงๆ ขอให้รีบเดินทางกลับ เพื่อทางภาครัฐจะได้บริการจัดการพื้นที่ต่างๆ อย่างเหมาะสม จริง
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้มีคนไทยกลับมาประเทศไทย และเข้าสถานที่กักกันตัวของภาครัฐ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายนถึง 25 พฤษภาคม มีผู้เข้ากักกันสะสม 26,095 ราย ผู้กลับบ้านสะสม 16,600 ราย ผู้เข้ากักกันปัจจุบัน 9,495 ราย ซึ่งในจำนวนทั้งหมด พบผู้ติดเชื้อเข้าโรงพยาบาล 108 ราย รักษาหายกลับบ้าน 81 ราย และรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 25 ราย โดยประเทศที่มีการเดินทางกลับมาสูงสุด ได้แก่ มาเลเซีย 12,774 ราย อินเดีย 1,883 ราย สหรัฐอเมริก 1,468 ราย เกาหลีใต้ 1,055 ราย เมียนมา 790 ราย ญี่ปุ่น 731 ราย สิงคโปร์ 606 ราย ลาว 534 ราย ออสเตรเลีย 501 ราย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 468 ราย
โฆษกศบค. กล่าวอีกว่า สำหรับการใช้งานแพลตฟอร์มไทยชนะ www.ไทยชนะ.com ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มโครงการ พบว่า จำนวนกิจการ/กิจกรรมลงทะเบียน 111,691 ร้าน จำนวนผู้ใช้งาน 12,845,612 คน จำนวนการใช้งาน เช็คอิน 31,153,255 ครั้ง และเช็คเอาท์ 22,481,593 ครั้ง ประเมินร้าน 12,222,685 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้แม้สถานการณ์ในประเทศไทยจะดีมากขึ้น และมีผู้ติดเชื้อจำนวนไม่มากแล้วนั้น แต่ยังคงไม่สามารถยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้ เนื่องจาก ก่อนหน้าที่จะมีพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ประเทศไทยใช้เพียงพ.ร.ก.โรคติดติด ซึ่งทำให้เกิดการทำงานห้ามกระทรวงได้ไม่ดี เพราะพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีการนำกฎหมายมารวมกว่า 40 ฉบับ ทำให้เกิดการบูรณาการทำงานร่วมกันของทุกกระทรวง และสามารถควบคุมโรคได้
ฉะนั้น ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาสถานการณ์ที่ดี ซึ่งจะเป็นเครดิตของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่ได้ การที่ประเทศอยู่ในภาพรวมที่ดีได้อย่างเช่นตอนนี้ภาครัฐต้องเข้มข้น เอกชนต้องเข้มแข็ง ประชาชนต้องร่วมมือกัน เพื่อให้ประเทศไทยได้ไปต่อไปได้