ความขัดแย้ง ‘จีน-สหรัฐ’ กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก
สัปดาห์นี้ “เงินบาท” และ “หยวน” ของจีน อ่อนค่าเมื่อเทียบดอลลาร์ ต่อเนื่องจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากจีนกับสหรัฐมีหลายประเด็นที่ขัดแย้งกันมากขึ้น
ซึ่งที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) มีมติเห็นชอบบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ในฮ่องกง ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่จะประกาศมาตรการตอบโต้จีน หากจีนบังคับใช้ร่างกฎหมายความมั่นคงต่อฮ่องกง
สำหรับในช่วง 1 สัปดาห์ข้างหน้า "ซีไอเอ็มบีไทย" คาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.60-32.10 บาทต่อดอลลาร์ โดยต้องจับตาประเด็นความขัดแย้งสหรัฐกับจีนมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องติดตามการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศต่างๆ ว่าจะส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการระบาดของโควิด-19 อย่างไร
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (29 พ.ค.) ปิดการซื้อขายที่ 1,342.85 จุด เพิ่มขึ้น 5.34 จุด หรือ 0.40% มูลค่าการซื้อขาย 95,991.70 ล้านบาท “บล.ทิสโก้” ระบุว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าดัชนีฯมีโอกาสผันผวน จากประเด็นความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้บรรยากาศการลงทุนต้องสะดุด อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ภาพรวมตลาดยังเป็นลักษณะไซด์เวย์หรือไซด์เวย์อัพ จากอานิสงส์การทยอยผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ของประเทศต่างๆ และคาดว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะขยายวงเงิน QE อีกราว 5 แสนล้านยูโรในการประชุมสัปดาห์หน้า โดยประเมินกรอบดัชนีฯไว้ที่ระดับ 1,320-1,360 จุด
ด้านความเคลื่อนไหวของราคาทองคำอยู่ที่ 1,725.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาทองคำในประเทศอยู่ที่ 25,950 บาทต่อบาททองคำ ด้าน “วายแอลจี บูลเลี่ยนอินเตอร์เนชั่นแนล” ระบุว่า ท่าทีแข็งกร้าวของจีนกระตุ้นความกังวลเกี่ยวกับการตอบโต้สหรัฐจากจีน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความไม่ชัดเจน ขณะที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นตอบรับข่าวดังกล่าวไปบางส่วน ทั้งนี้หากราคาขยับขึ้น ให้จับตาแนวต้านระดับ 1,736-1,739 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย อาจแบ่งขายทองคำบางส่วนในลักษณะทยอยทำกำไรออกมาเมื่อราคาขยับขึ้น โดยในระยะสั้นหากราคาทองคำมีการปรับตัวลดลงมาไม่หลุดแนวรับ นักลงทุนสามารถเข้าซื้อเก็งกำไรระยะสั้น โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 1,706-1,693 ดอลลาร์ต่อออนซ์