ธปท. ชี้แจงสภาฯ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับ พ.ร.ก. ซอฟต์โลน และ BSF
ธปท. ชี้แจงสภาฯ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับ พ.ร.ก. ซอฟต์โลน และ BSF
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 นายเมธี สุภาพงศ์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการตาม พ.ร.ก.รักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ.2563 (พ.ร.ก. BSF) และ พ.ร.ก. ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 (พ.ร.ก. ซอฟต์โลน) สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. พ.ร.ก. BSF ไม่ได้เป็นการกู้เงิน แต่เป็นการให้อำนาจ ธปท. จัดการสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน
2. วัตถุประสงค์ของ พ.ร.ก. BSF เพื่อการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน รักษามูลค่าการออมของคนไทย เป็นการให้ความเชื่อมั่นกับผู้ถือครองตราสารหนี้ภาคเอกชนที่เป็นประชาชนถึงร้อยละ 83 ของมูลค่าตราสารหนี้ทั้งหมด
3. อัตราดอกเบี้ยของ พ.ร.ก. BSF และ พ.ร.ก. ซอฟท์โลน สะท้อนวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน การนำ พ.ร.ก.ซอฟต์โลนมาเปรียบเทียบกับ พ.ร.ก. BSF อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิง เนื่องจากทั้ง 2 พ.ร.ก. มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
โดย พ.ร.ก. ซอฟต์โลนเป็นการให้เงินกู้เพิ่มเติมจากเงินกู้เดิมที่ได้จากสถาบันการเงินอยู่แล้ว โดยเงินกู้ก้อนใหม่นี้ SMEs จะได้รับในอัตราดอกเบี้ยต่ำขณะที่ พ.ร.ก. BSF ไม่ได้เป็นการให้เงินกู้เพิ่ม แต่เป็นการให้กู้ยืมเพื่อชำระตราสารหนี้เดิมที่ครบกำหนด ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่แพงที่สุด โดยบริษัทต้องไประดมทุนจากแหล่งอื่นๆ ก่อนที่จะมาขอความช่วยเหลือจากกองทุน BSF และเป็นการให้สภาพคล่องชั่วคราว เพื่อลดแรงจูงใจในการมาขอสภาพคล่องจากกองทุน BSF เป็นอันดับแรก เพราะมีเงื่อนไขว่าบริษัทต้องหาแหล่งเงินทุนภายนอกจากทั้งสถาบันการเงิน และตลาดหุ้นกู้มารวมกันไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50
ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีหลายบริษัทที่ต้องระดมทุนเพื่อใช้คืนหุ้นกู้ครบกำหนด แต่ก็ไม่ได้มาใช้กองทุนนี้ สะท้อนว่า พ.ร.ก. BSF เป็นเพียงหลังพิงให้กับผู้ถือตราสารหนี้ภาคเอกชนเท่านั้น
4. การดำเนินการของกองทุน BSF เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี มีคณะกรรมการที่ทำหน้าที่แยกจากกันอย่างชัดเจน ระหว่างคณะกรรมการกำกับกองทุนฯ และคณะกรรมการลงทุน รวมถึงยังมีผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและเอกชนในการให้ความเห็น โดยกองทุนจะเปิดเผยผลการดำเนินงานทั้งรายชื่อบริษัทที่ได้รับความช่วยเหลือและมูลค่าสินทรัพย์รวมของกองทุนแก่สาธารณชนเป็นประจำ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส สำหรับการผ่อนผันเงื่อนไขที่กำหนดไว้ หากมีความจำเป็นก็จะดำเนินการเป็นการทั่วไปให้กับทุกบริษัท ไม่ได้ให้กับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
นอกจากนี้ การมีผู้แทนจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เป็นหนึ่งในคณะกรรมการลงทุนเพื่อช่วยในการพิจารณา เพราะเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดตราสารหนี้ โดยหากมีประเด็นที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างการลงทุนของกองทุน BSF กับการลงทุนของ กบข. กรรมการท่านนั้นจะไม่สามารถอยู่ร่วมพิจารณาในการประชุมวาระนั้นได้
5. การให้สินเชื่อซอฟต์โลน เป็นหนึ่งในมาตรการช่วยเหลือ SMEs และยังมีวงเงินพร้อมให้ความช่วยเหลือ พ.ร.ก. ซอฟต์โลน ปล่อยสินเชื่อไปแล้วร้อยละ 10 ยังมีวงเงินเหลืออีกมาก และเป็นเพียงหนึ่งในมาตรการด้านการเงินช่วยเหลือ SMEs จากหลากหลายมาตรการ
6. ความตื่นตระหนกของประชาชนต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดในเดือนมีนาคม 2563 ทำให้เกิดการเทขายสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ รวมถึงกองทุนรวมตราสารหนี้ออกมาเป็นจำนวนมาก เพื่อไปถือเงินสด เงินฝากในระบบสถาบันการเงินจึงปรับเพิ่มขึ้นมาก สะท้อนความรุนแรงของสถานการณ์ในช่วงนั้น ส่งผลให้ต้องมีการออกมาตรการสำคัญทั้งมาตรการช่วยเหลือกองทุนรวมฯ (Mutual Fund Liquidity Facility: MFLF) และการจัดตั้งกองทุน BSF เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนและนักลงทุนทั่วไป ทำให้กลไกตลาดการเงินกลับมาทำงานได้ตามปกติ