SIRI เตรียมขายหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ จูงใจ 5 ปีแรก จ่ายดอกเบี้ยสูง 8.5% ต่อปี
SIRI เตรียมออกหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ กำหนดดอกเบี้ย 5 ปีแรก สูง 8.5% ต่อปี พร้อมปรับเป้ายอดขายปีนี้ขึ้นเป็น 3.5 หมื่นล้านบาท สวนกระแสภาพรวมอุตสาหกรรม
บมจ.แสนสิริ (SIRI) เตรียมเสนอขาย Subordinated Perpetual Bond หรือหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ให้ดอกเบี้ยปีที่ 1 - 5 เท่ากับ 8.50% ต่อปี ในภาวะดอกเบี้ยขาลง เสนอขาย ผู้ลงทุนทั่วไป จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท เปิดจอง 22 – 25 มิ.ย. 2563 โดยอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทอยู่ที่ BBB+/Negative และอันดับความเชื่อถือของหุ้นกู้อยู่ที่ BBB- จัดอันดับโดยทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 1 เม.ย. นี้
นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ SIRI เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าว ไม่เกิน 3,000 ล้านบาท จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท สำหรับอัตราดอกเบี้ยในช่วง 5 ปีแรก เท่ากับ 8.50% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ทั้งนี้ บริษัทฯ จะเปิดจองซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ดังกล่าวผ่านสถาบันการเงิน 6 แห่งได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย และบล.ฟินันเซีย ไซรัส
สำหรับเงื่อนไขสำคัญของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ประกอบด้วย 1. อายุของหุ้นกู้ หุ้นกู้ครั้งนี้เป็นหุ้นกู้ไม่มีกำหนดอายุ ผู้ถือหุ้นกู้ไม่มีสิทธิให้ผู้ออกหุ้นกู้ไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน แต่ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนเมื่อครบ 5 ปี 2. ลำดับการได้รับคืนเงิน ถ้าบริษัทเลิกกิจการ หุ้นกู้นี้จะมีลำดับการชำระหนี้หลังเจ้าหนี้ทั่วไป แต่ได้ก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ 3. ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิ์เลื่อนชำระดอกเบี้ยได้ หุ้นกู้นี้ผู้ออกหุ้นกู้สามารถเลื่อนจ่ายดอกเบี้ยได้ โดยยกยอดไปจ่ายวันใดๆ ก็ได้ไม่จำกัดระยะเวลา และจำนวนครั้ง แต่หากเลื่อนจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ ผู้ออกหุ้นกู้จะไม่สามารถประกาศหรือจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้ 4. อัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับทุกๆ 5 ปี โดยอ้างอิงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี
การเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯครั้งนี้ นับเป็นการวางแผนด้านการเงินเพื่อรองรับการเติบโตที่แข็งแกร่งที่ยั่งยืนในระยะยาวของบริษัท ซึ่งบริษัทมีแผนผลักดันยอดขายเติบโตสู่ 120,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี ด้วยแผนรุกธุรกิจที่แข็งแกร่ง 3 แนวทางได้แก่ 1. แผนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่รัดกุมพร้อมปรับเปลี่ยนไปตามทุกสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา 2. การบริหารสต็อกที่ดี ปัจจุบันแสนสิริ มีสินค้าพร้อมขายมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณที่มีความสมดุลในตลาด และ 3. การบริหารกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องที่ดี โดยได้จัดสรรกระแสเงินสดหมุนเวียนในบริษัท 10,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้ปรับเป้ายอดขายปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 35,000 ล้านบาท จากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 29,000 ล้านบาท เนื่องจากผลการดำเนินธุรกิจเพียง 5 เดือนที่ผ่านมา สร้างยอดขายไปได้กว่า 22,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 168% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นถึง 76% ของเป้าหมายยอดขายเดิม นอกจากนี้ล่าสุดบริษัทได้ปรับประมาณการเป้าหมายรายได้รวมทั้งปีเพิ่มขึ้นเป็น 32,000 ล้านบาท จากเป้าที่วางไว้เดิม 27,000 ล้านบาท จากการมองเห็นแนวโน้มรายได้และกำไรที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 เป็นต้นไป
"ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทยังมีแผนธุรกิจในการเดินหน้าเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่รองรับการเติบโตอีก 14 โครงการ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 6 โครงการ ทาวน์โฮมและมิกซ์โปรเจคต์อีก 6 โครงการ มูลค่ารวม 15,200 ล้านบาท รวมทั้งยังมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท " นายวันจักร์กล่าว