สงครามการค้า ฉุดอันดับแข่งขัน ‘สหรัฐ-จีน’ รูด
ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันโลก ประจำปี 2563 ของสถาบันเพื่อพัฒนาการจัดการ (ไอเอ็มดี) พบว่า ปีนี้ ทั้งสหรัฐและจีนอันดับลดลงทั้งคู่ เพราะมัวแต่ทะเลาะกัน
ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันโลก ประจำปี 2563 ของสถาบันเพื่อพัฒนาการจัดการ (ไอเอ็มดี) พบว่า ปีนี้ ทั้งสหรัฐและจีนอันดับลดลงทั้งคู่ เพราะมัวแต่ทะเลาะกันเรื่องการค้าจึงส่งผลต่อการจัดอันดับระหว่างประเทศ เปิดทางให้เขตเศรษฐกิจเล็กกว่าแซงหน้าไปได้
สหรัฐร่วงจากอันดับ 3 ในปี 2562 มาอยู่อันดับ 10 ในปีนี้ เพราะเสถียรภาพทางการเมือง ความสามัคคีในสังคม ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและระหว่างเพศลดน้อยลง
เว็บไซต์ซีบีเอสรายงานว่า สหรัฐเคยคว้าแชมป์มาได้ในปี 2561 จากนั้นก็เข้าสู่ขาลงมาโดยตลอด
สิ่งที่สหรัฐทำได้ดีที่สุดคือ เสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและสัดส่วนของการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีสูง
ปัจจัยใหญ่สุดที่ทำให้สหรัฐตกอันดับคือ การสะสมทุนถาวร-การเติบโตที่แท้จริง ซึ่งหมายถึง การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน โรงเรียน และการปรับปรุงที่ดิน ที่ช่วยให้เศรษฐกิจประเทศเดินหน้าต่อไปได้ เกณฑ์ด้านนี้สหรัฐทำคะแนนได้ลดลง
ปัจจัยรองลงมาคือการเกินดุล/ขาดดุลงบประมาณของรัฐบาล นับถึงขณะนี้ในปีงบประมาณ 2563 สหรัฐขาดดุลมากถึงราว 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ สำนักงบประมาณสภาคองเกรส คาดการณ์เมื่อเดือน เม.ย.ว่า สิ้นปีงบประมาณนี้สหรัฐจะขาดดุล 3.7 ล้านล้านดอลลาร์
ส่วนจีนตกจากอันดับ 14 ในปี 2562 มาอยู่ในอันดับ 20 เพราะคะแนนด้านการค้าระหว่างประเทศ การจ้างงาน และตลาดแรงงานลดลงมาก
ทั้งนี้ เมื่อต้นเดือน พ.ค.บรรดานักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า อาจเกิดสงครามการค้ารอบใหม่ เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันที่ 3 พ.ค. ว่าจีนจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเฟสหนึ่งที่ทำร่วมกันและหากจีนไม่ซื้อสินค้าจากสหรัฐตามที่รับปากไว้ สหรัฐจะยกเลิกข้อตกลงดังกล่าวกับจีน
นักเศรษฐศาสตร์บางคนเตือนว่า จีนควรให้ความสนใจกับคำขู่ของประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับการขึ้นภาษี เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจจีน ซึ่งมีปัญหาจากเรื่องโรคโควิด-19 อยู่แล้ว กำลังได้รับความเสียหายหนักมากขึ้น จีนจึงควรหลีกเลี่ยงสงครามการค้ารอบต่อไป
แต่ดาร์สัน ชิว นักเศรษฐศาสตร์อีกคน มีความเห็นว่าสหรัฐจะเป็นฝ่ายที่ต้องเสียหายเช่นกันเพราะโอกาสที่จีนจะทำตามข้อตกลงการค้าในเฟสหนึ่งมีน้อย เนื่องจากเศรษฐกิจจีนหดตัวลงถึง 6.8% ในช่วงไตรมาสแรกของปี และหากจะเดินหน้าทำตามข้อตกลงนี้จริง จีนจะต้องกู้เงินเป็นจำนวนมาก