'กรมบังคับคดี' แจงเป็นหนี้ กยศ. แค่หมื่นบาท ถูกยึดบ้านกว่า 2 ล้านขายทอดตลาด
"กรมบังคับคดี" แจงกรณีเป็นหนี้ กยศ. แค่หมื่นบาท ถูกยึดบ้านกว่า 2 ล้านขายทอดตลาด เพราะอะไร?
ตามที่มีข่าวเรื่อง ญาติของผู้กู้ยืมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ร้องว่าถูกบังคับคดียึดบ้านทรงไทยราคากว่า 2 ล้านบาท ออกขายทอดตลาด ไปชำระหนี้เงินกู้ กยศ. จำนวนเพียง 17,000 กว่าบาท โดยเจ้าของทรัพย์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด นั้น
กรณีดังกล่าวอยู่ในการดำเนินการของสำนักงานบังคับคดีจังหวัดแพร่ ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดแพร่ โดยโจทก์ได้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า โจทก์ไม่เคยได้รับชำระหนี้ตาม คำพิพากษาจากจำเลยแต่อย่างใด แต่เนื่องจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ผู้กู้ยืมถูกยึดไว้ในคดีอื่นแล้ว และ ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะดำเนินการบังคับคดีเพื่อชำระหนี้ได้ โจทก์จึงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 3 ติดจำนองเจ้าหนี้รายอื่นออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามคำร้องขอของโจทก์แล้ว ได้แจ้งการยึดไปยัง
จำเลยที่ 3 พร้อมแจ้งให้ทราบว่าสามารถขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดีได้ ซึ่งจำเลยที่ 3 ได้รับหมายแจ้งแล้ว แต่ไม่ได้มาติดต่อเพื่อขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงต้องดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดโดยประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวโดยการจำนองติดไป ทั้งนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งกำหนด
วันขายทอดตลาดไปยังจำเลยที่ 3 พร้อมปิดประกาศขาย ณ ทรัพย์ที่จะทำการขายทอดตลาดในการประกาศขายแต่ละครั้ง คดีนี้มีการขายทอดตลาดมาแล้วถึง 10 นัด แต่ไม่มีผู้เข้าสู้ราคา จำเลยที่ 3 ซึ่งทราบกำหนดวันขายทอดตลาดโดยชอบแล้วไม่เคยมาดูแลการขายหรือมาติดต่อกับเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแต่อย่างใด จนกระทั่งในการขายทอดตลาดครั้งที่ 11 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 มีบุคคลภายนอกได้ซื้อทรัพย์ดังกล่าวไปในราคา 30,000 บาท ซึ่งผู้ซื้อทรัพย์ดังกล่าวจะต้องรับภาระในการไปชำระหนี้จำนองอีกเป็นเงินกว่า 2 ล้านบาท
ในวันนี้ 25 มิถุนายน 2563 ผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดแพร่ ได้ลงพื้นที่ร่วมกับอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย และการบังคับคดีจังหวัดแพร่ และยุติธรรมจังหวัดแพร่ โดยได้พูดคุยกับจำเลยที่ 3 ถึงแนวทางช่วยเหลือในกรณีดังกล่าวแล้ว ซึ่งได้กำหนดนัดหมายผู้ซื้อทรัพย์และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้ามาเพื่อเจรจาหาทางออกร่วมกันต่อไปในวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 นี้