‘อีฟแอนด์บอย’เสริมทัพแบรนด์-ลุยออนไลน์‘เร่งฟื้นยอด
สถานการณ์กำลังซื้อและภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากวิกฤติโควิด-19 กระทบต่อบรรยากาศจับจ่ายใช้สอยแม้กระทั่งธุรกิจความสวยความงาม หรือ บิวตี้แบรนด์-บิวตี้สโตร์ ทั้งหลาย
ธุรกิจบิวตี้ และบรรดาร้านค้าปลีกเพื่อความงามที่เคยโตสวนกระแส! ปัจจัยลบมาโดยตลอด แต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดครั้งนี้หนักหนาสาหัสเกินคาดเดา ทำให้ธุรกิจต่างๆ ต้อง “ปิดบริการหน้าร้านชั่วคราว” นาน 2-3 เดือน อีกทั้งเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย แต่คงอยู่ภายใต้ข้อจำกัด! ที่ไม่สามารถจัดกิจกรรม สร้างอีเวนท์ทางการตลาดที่จะดึงดูดลูกค้ามามีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์ได้เช่นเคย เป็นโจทย์ใหญ่ในการขับเคลื่อนธุรกิจ
หิรัญ ตันมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีฟ แอนด์ บอย จำกัด ผู้บริหารร้านค้าปลีกสินค้าความงาม หรือ บิวตี้สโตร์มัลติแบรนด์สัญชาติไทยภายใต้ชื่อ อีฟแอนด์บอย (EVEANDBOY) กล่าวว่า แม้สถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลายแต่กำลังซื้อและภาพรวมตลาดยังไม่กลับมาเต็ม 100% ภารกิจของอีฟแอนด์บอย มุ่งกระตุ้นกำลังซื้อด้วยกลยุทธ์ทุกรูปแบบ โดยเชื่อว่าครึ่งปีหลังนี้การใช้จ่ายและกำลังซื้อจะน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การฟื้นคืนตลาดของอีฟแอนด์บอยมุ่งพัฒนาสินค้าและบริการ เพิ่มแบรนด์ใหม่จากต่างประเทศสร้างสีสันและกิมมิค การพัฒนาโมเดลและแพลตฟอร์มใหม่ๆ รองรับความต้องการในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะการใช้ “ออนไลน์” เป็นเครื่องมือส่งเสริมการขาย และเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย
“ปกติอีฟแอนด์บอยจะมีโปรโมชั่นและกิจกรรมทางการตลาดตลอดเวลา แต่สถานการณ์โควิดขณะนี้ทำให้ไม่สามารถจัดอีเวนท์ได้ เราจึงให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์มากขึ้นทั้งการสื่อสารแบรนด์ ข้อมูลอัพเดท แคมเปญโปรโมชั่น เข้าถึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด"
แม้ยอดขายผ่านออนไลน์เติบโตสูง แต่ “สัดส่วน” เทียบภาพรวมยังน้อยอยู่เพียง 5% เท่านั้น ไม่สามารถทดแทนยอดขาย “ออฟไลน์” ได้รวดเร็วทันใจ แต่เป็น บิ๊กสเต็ป! แห่งอนาคคตของ อีฟแอนด์บอย ที่จะต้องพาตัวเองไปอยู่ในโลกดิจิทัลเช่นเดียวกับลูกค้า! ซึ่งโควิดยังเป็นตัวเร่งให้ “อีคอมเมิร์ซ” เปลี่ยนโฉมหน้าอย่างรวดเร็ว โดย อีฟแอนด์บอย อยู่ระหว่างการพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ รวมทั้งเครื่องมือทางการตลาดชิ้นสำคัญ “แอพพลิเคชั่น” ที่จะสามารถเชื่อมลูกค้าได้ 24 ชั่วโมง
ทางด้านแผนลงทุนหลังโควิดนี้ยังอยู่บนเป้าหมายเดิมของปีนี้ซึ่งใช้เม็ดเงินกว่า 500 ล้านบาท ในการขยายสาขาร้านอีฟแอนด์บอยเพิ่ม 3 สาขา โดยต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาเปิดสาขา “สามย่านมิตรทาวน์” เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการเดือน ก.ค.นี้ ล่าสุดเปิดบริการ “สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ” สาขาลำดับที่ 13 พื้นที่ 580 ตร.ม. เป็นโมเดลร้านขนาดกลางในคอนเซปต์ใหม่ เน้นลูกค้าชาวไทย 90% จากเดิมสาขานี้มุ่งเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ คาดว่าหลังการระบาดของไวรัสโควิด-19 คลี่คลายสถานการณ์กลับมาปกติ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้บริการสัดส่วน 40% ชาวไทย 60% พร้อมกันนี้ เตรียมเปิดสาขา “เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน” ช่วงปลายปีนี้ และทยอยปรับปรุงสาขาเก่าในคอนเซปต์ใหม่ให้มีความทันสมัยตลอดเวลา
หิรัญ กล่าวถึง อีฟแอนด์บอย สาขาเอ็กซ์คลูซีฟ สำหรับ สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ด้วยว่า หากเปรียบเทียบร้านในเอาท์เล็ตต่างๆ ทั่วโลก จะไม่ได้เห็นสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ๆ วางจำหน่าย แต่ อีฟ แอนด์ บอย สร้างความพิเศษนอกจากราคาที่ต่ำกว่าหน้าร้านปกติ ยังมีสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ สีสันครบถ้วน!
สำหรับไฮไลท์ในช่วงครึ่งปีหลังที่จะมากระตุ้นการใช้จ่ายของอีฟแอนด์บอย มีแผนเปิดตัวแบรนด์นำเข้าไม่ต่ำกว่า 20 แบรนด์ เสริมความแข็งแกร่งของความเป็น “บิวตี้ เดสทิเนชั่น” ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์จากเกาหลี 2 แบรนด์เข้ามาทำตลาด
ปัจจุบัน อีฟแอนด์บอย บิวตี้สโตร์รวบรวมไอเท็มยอดฮิตจากทั่วทุกมุมโลกกว่า 1,000 แบรนด์ทั้งที่เป็นออฟฟิเชียลพาทเนอร์แบรนด์จากต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ยุโรป เกาหลี และแบรนด์ของคนไทย
“เทรนด์เครื่องสำอางจากเกาหลีแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับแบรนด์ไทยเริ่มมาแรง สามารถสร้างยอดขายได้ไม่แพ้แบรนด์ชื่อดังจากฝั่งตะวันตก เทียบในอดีตเครื่องสำอางแบรนด์ไทยไม่เป็นที่นิยมมากนัก โดยเราเปิดพื้นที่รองรับไทยแบรนด์มากขึ้นเพื่อสร้างความแตกต่างอีกด้วย”
อีฟแอนด์บอย ยังอยู่ระหว่างมอร์นิเตอร์สถานการณ์โควิดเพื่อประเมินตัวเลขการเติบโตใหม่ จากปีที่ผ่านมาธุรกิจมีการตอบรับที่ดีด้วยอัตราการเติบโตของยอดขายสูง 19%
ทั้งในกลุ่มเพรสทีจและแมส โดยมีสัดส่วนการขายจากกลุ่มเมกอัพ 48% สกินแคร์ 35% น้ำหอม 6% แฮร์แคร์ 3% แอคเซสซอรี 3% เพอร์เซอนัลแคร์ 3% และอื่นๆ 2%
นับเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 15 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วง 5 ปีหลัง! เรียกได้ว่าพุ่งแรง! สวนกระแสกำลังซื้อและเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งประเทศไทยยังเป็นตลาดศักยภาพสูงในการขยายธุรกิจ แม้ว่าเวลานี้จะมี “ปัจจัยลบ” รุมเร้าตลาดอย่างหนักหน่วงก็ตาม หากแต่ ซีอีโอ อีฟแอนด์บอย ย้ำว่า เบื้องต้นยังคงยึดแผนธุรกิจเดิม ใน 3 ปี (2563-2565) จะเปิดสาขาใหม่ 11 แห่ง “โตเท่าตัว” มีเครือข่ายสาขาให้บริการสิ้นปี 2565 อย่างน้อย 22 แห่งตามเป้าหมาย ภายใต้การปรับเกมรุกให้ทันความต้องการของลูกค้า คือ หัวใจสำคัญ!