'พิธา' อัดรัฐบาลจัดสรรงบฯ ปี 64 เหมือนเดิม-ไม่แก้ปัญหาประเทศ
เหมือนประเทศไม่มีวิกฤต! "พิธา" อัดรัฐบาลจัดสรรงบฯ ปี 64 เหมือนเดิม-ไม่แก้ปัญหาประเทศ แนะแนวทางหาเงินผ่านการเก็บภาษี - สร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่สอดคล้อง Supply Chain ของโลก
เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟชบุ๊ก "พรรคก้าวไกล - Move Forward Party " นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในช่วงสัปดาห์นี้ว่า จากที่ได้ตรวจสอบพบว่ามีการจัดงบประมาณที่ทำเหมือนกับว่าประเทศไม่ได้มีวิกฤตโควิดและวิกฤตเศรษฐกิจ ทำเหมือนกับว่าประชาชนไม่มีความทุกข์ คือ การจัดสรรงบทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิมกับปี 63 ทั้งที่ปีนี้เป็นปีมหาวิกฤตล้อมประเทศประเทศไทย
ไม่ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีก็เห็นชัด และต้องสำนึกต่อเรื่องนี้ คือ ถ้าเปรียบการจัดงบปี 64 เหมือนการจัดกระเป๋า การจัดกระเป๋าออกจากบ้านไปจ่ายตลาดกับการจ้ดกระเป๋าออกจากบ้านที่กำลังโดนไฟไหม้นั้นไม่เหมือนกันแน่ๆ แต่เราทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น งบประมาณต้องเอาไปช่วยคนที่เคยไปต่อแถวอยู่หน้ากระทรวงการคลัง คนที่เคยต้องต่อแถวรับอาหาร รัฐบาลต้องมีส่วนช่วยเหลือเรื่องนี้ และการจัดงบประมาณปี 2564 นี่เองที่จะมาใช้แก้ไข โลกเปลี่ยนประเทศไทยต้องปรับ แต่หากรัฐบาลยังมีชุดความคิดอย่างนี้อยู่ปีต่อๆ ไปก็จะเป็นเหมือนเดิม
นายพิธา กล่าวว่า งบประมาณปี 64 เพิ่มขึ้นเป็น 3.3 ล้านล้าน และงบสู้ภัยโควิดอีกเกือบ 2 ล้านล้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกร้ฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลที่คุมงบประมาณมหาศาลนี้ต้องปรับความคิดใหม่ นิยามความมั่นคงวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องทางการทหาร แต่เป็นเรื่องความมั่นคงทางสุขภาพ สิ่งแวดล้อม ซึ่งพอมาดูตรงนี้ก็หมายความว่าระบบต่างๆ ต้องเปลี่ยน การสาธารณสุข สวัสดิการ การศึกษา ต้องให้ความสำคัญ เพราะไม่อย่างนั้น ปีที่แล้วพี่น้องชาวเหนือที่เจอปัญหาไฟป่า และ PM 2.5 พร้อมโควิดอย่างไร
ปีนี้ก็จะเจอวิกฤตไฟป่า และPM 2.5 เหมือนเดิม พี่น้องชาวอีสานเจอภัยแล้งพร้อมโควิดอย่างไร ก็จะเจอภัยแล้งเหมือนเดิม พี่น้องภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบท่องเที่ยวที่หายไป ผลราคายางตกพร้อมกับโควิดก็จะเจอเหมือนเดิม การจัดสรรงบประมาณเป็นแบบนี้ทุกคนก็จะเจอปัญหาเดิม เพราะเป็นการจัดสรรงบประมาณที่ไม่ล้อไปกับปัญหาของประเทศ
"ถ้าตนเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคนชี้แจงการใช้งบประมาณปีนี้ สิ่งที่จะชี้แจงไม่ใช่ว่าจะใช้เงินไปกับอะไร แต่สิ่งที่สำคัญคือเรื่องของการหาเงิน การคิดเรื่องฐานภาษีใหม่ของประเทศ ว่าควรเป็นอย่างไร ภาษีเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม จากการปล่อยคาร์บอน ปล่อยมลพิษ ภาษีจากการทำเหมืองแร่ต่างๆ คือสิ่งที่เราอยากเห็น ซึ่งจะเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว มีรายได้และลดรายจ่ายจากการทำความสำอาดมลพิษ หรือแม้แต่การที่ตอนนี้ไทยเป็นผู้ใช้บริการทางดิจิทัลเยอะ หลายบริษัทโกยเงินออกไปเยอะ ต้องเรื่องการเก็บภาษีอีเซอร์วิสด้วย ซึ่งก็เห็นว่ารัฐบาลพยายามทำอยู่แต่ก็ล่าช้ามากๆ เราต้องเริ่มหาฐานภาษีใหม่เพื่อดูแลสุขภาพประชาชนและผลประโยชน์ประเทศด้วย ไม่ใช่คิดแต่ไปเก็บภาษีที่บีบคอคนยากคนจน รีดเลือดเอาจากปูจากประชาชนคน 99 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ ซึ่งเราต้องการรัฐบาลที่ใจถึง พึ่งได้ และกล้าหาญที่จะทำอย่างนี้ เพราะภาษีเหล่านี้พูดกันมานานแล้ว แต่ก็อย่างที่รู้ว่านายทุนเสียประโยชน์ และที่สำคัญการหาเงินก็ไม่ใช่เก็บภาษีอย่างเดียว แต่ต้องสร้างอุตสาหกรรมใหม่ด้วย อุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่จะนำไทยให้ไปอยู่ใน Supply Chain ของโลก แต่ในการจัดงบเรื่องนี้กลับมีแต่การสัมมนาอบรม เป็นต้น ปีนี้เป็นปีเดิมพันประเทศไทย จะจัดงบเหมือนไม่มีวิกฤตไม่ได้" นายพิธา กล่าว