วิถีลงทุน New Normal เป็นทั้ง 'หลุมหลบภัย' และ 'ขุมทรัพย์' (ตอนที่ 1)
เจาะลึก "ตลาดหุ้นสหรัฐ" จากปรากฏการณ์ในช่วงที่ผ่านมาสามารถฝ่าด่านความเสี่ยงที่รุมเร้า ทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้น และความไม่แน่นอนทางการเมือง ทำไมถึงเดินหน้าปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลาย มี.ค. สร้างผลตอบแทนโดดเด่นกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นๆ
ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มขึ้นวันละหลายหมื่นราย โดยในบางมลรัฐ มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากที่สุดตั้งแต่เกิดการระบาด เช่น Texas, Florida, California และ Arizona ทำให้หลายๆ เมืองต้องกลับมาใช้มาตรการ Social Distancing เพื่อคุมไม่ให้จำนวนผู้ป่วยมากเกินกว่าระบบสาธารณสุขจะรับไหว ไม่เพียงวิกฤติจากโรคโควิด-19 เท่านั้น สหรัฐยังเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมืองทั้งในและต่างประเทศที่ยังคงอ่อนไหวตามกระแสข่าวรายวัน
จึงไม่น่าแปลกที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะผลักดันให้ดัชนี NASDAQ เพิ่มขึ้นได้ถึง +10% ตั้งแต่ต้นปี และทำสถิติสูงสุดในประวัติการณ์ต่อ ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Dow Jones Industrial Average (DJIA) ยังขาดทุนอยู่ -5.5% และ -10.3% ตามลำดับ
ซึ่งส่วนต่างของ 3 ดัชนีระดับนี้ ถือว่ากว้างที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1983 โดยหุ้นที่ทำให้ดัชนี NASDAQ สร้างผลตอบแทนดีกว่าดัชนีอื่นอย่างมีนัยสำคัญคือ Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet และ Facebook ที่มีน้ำหนักรวมกันถึงประมาณ 40% ในดัชนี ขณะที่ดัชนี S&P500 มีหุ้นเหล่านี้เพียงประมาณ 20% และดัชนี DJIA มีเพียง Apple และ Microsoft ในสัดส่วนประมาณ 15% เท่านั้น
- บริษัทเหล่านี้ทำธุรกิจอะไรถึงเป็นผู้ชนะในวิกฤตินี้
1.Amazon (+43.4% ตั้งแต่ต้นปี) เป็นที่ทราบกันดีว่า Amazon ทำธุรกิจซื้อ-ขายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ สอดรับวิถี New Normal อย่างมาก นอกจากนี้ Amazon ยังเป็นผู้นำในธุรกิจ Cloud Computing ผ่าน Amazon Web Service ที่สร้างรายได้กว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในไตรมาส 1
2.Microsoft (+25.5% ตั้งแต่ต้นปี) มาตรการ Lockdown ทำให้พนักงานหลายบริษัททั่วโลกทำงานที่บ้าน ธุรกิจกลุ่ม Personal Computing ของ Microsoft จึงเติบโตได้ดี ทั้ง Windows, Office 365 และ Surface นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีมากขึ้นส่งให้ธุรกิจ Cloud Computing อย่าง Azure ขยายตัวก้าวกระโดดเช่นกัน
3. Apple (+25.5% ตั้งแต่ต้นปี) แม้ Apple ต้องปิดร้านค้าในหลายประเทศ กดดันยอดขาย iPhone แต่รายได้จากธุรกิจบริการกลับเร่งตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Apple TV+ ที่ให้บริการ Video Streaming รวมทั้ง Apple Music ที่ให้บริการ Music Streaming และ iCloud ที่ให้บริการจัดเก็บข้อมูล
ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่วิ่งขึ้นสวนทางกับหุ้นอื่นๆ ทำให้นักลงทุนกังวลใน “ความแพง” และไม่กล้าลงทุน เป็นไปได้ว่าในระยะสั้น การฟื้นตัวของราคาหุ้นที่เร่งขึ้นมากกว่าอัตราการลดลงของความผันผวน (ความเสี่ยง) ของตลาด ทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสพักฐาน และนี่คือโอกาส เพราะภายใต้ภาวะดอกเบี้ยที่ต่ำมาก การสร้างขุมทรัพย์ที่มั่งคั่งควรมีหุ้นเป็นส่วนประกอบชิ้นสำคัญ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีก็เป็นหนึ่งในผู้ชนะแห่งอนาคต
โดยนักวิเคราะห์คาดกำไรปี 2020 ของหุ้นกลุ่มนี้จะยังเติบโตได้ ขณะที่กำไรรวมของหุ้นในดัชนี S&P500 จะหดตัว สะท้อนถึงความแข็งแกร่งแม้เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบาก และที่สำคัญหากการระบาดของโควิด-19 รุนแรงขึ้น จนทำให้ประเทศต่างๆ ต้องกลับมาใช้มาตรการปิดเมือง หุ้นกลุ่มนี้จะกลายเป็นหลุมหลบภัยที่ดีเพราะจะกระทบน้อยที่สุดและได้ประโยชน์มากที่สุด
ใกล้กำหนดการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 ที่มีทีท่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี รวมทั้งการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนประจำไตรมาสที่แย่ที่สุดในรอบหลายปี อาจนำมาซึ่งความกลัวต่อความตกต่ำทางเศรษฐกิจหรือภาวะล้มละลายในภาคธุรกิจอีกครั้ง ราคาหุ้นจะผันผวนสูง และนักลงทุนควรใช้ช่วงเวลานี้ทยอยสะสมหุ้นหรือกองทุนกลุ่มเทคโนโลยีไว้เป็นขุมทรัพย์แห่งอนาคต