'ตัวแทนประกันชีวิต' และ 'นายหน้าประกันชีวิต'
ทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง "ตัวแทนประกันชีวิต" กับ "นายหน้าประกันชีวิต" รวมถึงการทำประกันชีวิตกับตัวแทนประกันชีวิต จะแตกต่างกับทำประกันกับนายหน้าประกันชีวิตอย่างไรบ้าง? จะมีรายละเอียดอย่างไรบ้างนั้น ติดตามอ่านได้ที่นี่
พระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 เป็นกฎหมายที่ควบคุมกำกับดูแลการประกอบธุรกิจประกันชีวิต และที่เกี่ยวเนื่อง โดยผู้จะประกอบธุรกิจประกันชีวิตจะต้องจัดตั้งเป็นบริษัทมหาชนจำกัด โดยได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องประกอบธุรกิจให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ตามพระราชบัญญัตินี้
สำหรับบุคคลที่ประกอบอาชีพที่เกี่ยวเนื่อง เช่น บุคคลที่กระทำการเป็นตัวแทนประกันชีวิตหรือนายหน้าประกันชีวิต จะต้องได้รับใบอนุญาตและปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้เช่นกัน โดยกฎหมายให้ความหมายของตัวแทนประกันชีวิตและนายหน้าประกันชีวิตไว้ คือ
“ตัวแทนประกันชีวิต” หมายความว่า ผู้ที่บริษัทมอบหมายให้ทำการชักชวนให้บุคคลทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท
"นายหน้าประกันชีวิต" หมายความว่า ผู้ชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท โดยกระทำเพื่อบำเหน็จเนื่องจากการนั้น
ผู้ที่จะกระทำการเป็นตัวแทนประกันชีวิตหรือนายหน้าประกันชีวิต ต้องได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน คือเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือผู้ได้รับมอบหมาย
ผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิต ต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดในมาตรา 69 ของพระราชบัญญัติประกันชีวิต ที่สำคัญคือ ไม่เป็นนายหน้าประกันชีวิต และได้รับการศึกษาวิชาประกันชีวิตจากสถาบันการศึกษาหรือสอบความรู้เกี่ยวกับการประกันชีวิตได้ตามหลักสูตรที่นายทะเบียนกำหนด
นายหน้าประกันชีวิต จะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้
ในกรณีผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันชีวิตเป็นบุคคลธรรมดา ต้องไม่เป็นตัวแทนประกันชีวิตหรือเป็นกรรมการ ผู้จัดการ พนักงาน หรือลูกจ้างของบริษัทใด โดยต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดในมาตรา 69 (1) (2) (3) (4) (5) (7) และ (8) ด้วย
ในกรณีผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันชีวิตเป็นนิติบุคคล ต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดในมาตรา 72 วรรคสอง (1)-(4) โดยสรุปคือ ต้องมีสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการเป็นนายหน้าประกันชีวิต มีพนักงานลูกจ้างได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันชีวิต ไม่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันชีวิตในระยะห้าปีก่อนขอใบอนุญาต
- บทบัญญัติที่ใช้บังคับกับตัวแทนประกันชีวิตที่สำคัญ
- บริษัทประกันชีวิตต้องร่วมรับผิดกับตัวแทนประกันชีวิตต่อความเสียหายที่ตัวแทนประกันชีวิตได้ก่อขึ้นจากการกระทำการเป็นตัวแทนประกันชีวิต (มาตรา70/1)
- ในการปฏิบัติหน้าที่หรือกระทำการเป็นตัวแทนประกันชีวิตของบริษัท ต้องไม่แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งและต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด (มาตรา70/2 วรรคหนึ่ง)
- ตัวแทนประกันชีวิตมีสิทธิรับเบี้ยประกันภัยได้ในนามบริษัทได้ (มาตรา 71)
- ตัวแทนประกันชีวิตอาจทำสัญญาประกันชีวิตในนามบริษัทได้ เมื่อได้รับหนังสือมอบอำนาจจากบริษัท (มาตรา 71 วรรคสอง)
- ตัวแทนประกันชีวิตต้องแสดงใบอนุญาตทุกครั้งที่ชักชวนให้บุคคลทำประกันชีวิตหรือรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัท และต้องแสดงเอกสารแสดงการรับเงินของบริษัททุกครั้งที่รับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัท (มาตรา71/1)
- บทบัญญัติสำคัญที่ใช้บังคับกับนายหน้าประกันชีวิต
- นายหน้าประกันชีวิตหรือพนักงานของบริษัท ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการรับเงินอาจรับเบี้ยประกันในนามบริษัทได้ เมื่อได้รับหนังสือมอบอำนาจจากบริษัท (มาตรา 71 วรรคสอง) และต้องแสดงหนังสือมอบทุกครั้งที่มีการรับเบี้ยประกันในนามบริษัท และต้องแสดงเอกสารการรับเงินของบริษัททุกครั้งที่มีการับเบี้ยประกันในนามบริษัท (มาตรา70/2 วรรคหนึ่งและวรรคสอง)
- ข้อแตกต่างในการทำประกันชีวิตกับตัวแทนประกันชีวิตและนายหน้าประกันชีวิตที่สำคัญ
การทำประกันชีวิตผ่านตัวแทนประกันชีวิตและการทำประกันชีวิตผ่านนายหน้าประกันชีวิต มีข้อแตกต่างในทางกฎหมายที่สำคัญคือ
- ความรับผิดของบริษัทประกันชีวิต
ในกรณีทำผ่านตัวแทนประกันชีวิต บริษัทต้องร่วมรับผิดกับตัวแทนประกันชีวิตต่อความเสียหายที่ตัวแทนประกันชีวิตได้ก่อขึ้นจากการกระทำเป็นตัวแทนประกันชีวิต (มาตรา 70/2) ในกรณีทำผ่านนายหน้าประกันชีวิตไม่มีบทบัญญัติให้บริษัทร่วมรับผิดกับนายหน้าประกันชีวิต
- การรับเบี้ยประกัน ตัวแทนประกันชีวิตมีสิทธิรับเบี้ยประกันภัยได้ในนามบริษัทได้ ส่วนนายหน้าประกันชีวิตจะรับเบี้ยประกันชีวิตในนามบริษัทได้ต่อเมื่อได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือจากบริษัท
ในกรณีทำประกันชีวิตกับบริษัทประกันชีวิตผ่านตัวแทนประกันชีวิตและจ่ายเบี้ยประกันให้ตัวแทนประกันชีวิตแล้ว เป็นการที่ตัวแทนประกันชีวิตรับไว้แทนบริษัท เบี้ยประกันตกเป็นของบริษัทประกันชีวิตแล้ว (คำพิพากษาศาลฎีกาที่373/2559 ) แม้จะปรากฏว่า ตัวแทนประกันชีวิตไม่นำเบี้ยประกันส่งบริษัท บริษัทประกันชีวิตจะปฏิเสธไม่รับผิดตามสัญญาประกันชีวิตโดยอ้างว่าไม่ได้รับเบี้ยประกันมิได้(เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่170/2524) เป็นเรื่องที่บริษัทต้องไปไล่เบี้ยกับตัวแทนประกันชีวิตทั้งทางแพ่งและทางอาญาเอง
ในกรณีที่ทำประกันชีวิตผ่านนายหน้าประกันชีวิต และจ่ายเบี้ยประกันให้นายหน้าประกันชีวิต จะถือว่านายหน้าประกันชีวิตได้รับเบี้ยประกันชีวิตไว้แทนบริษัทและถือว่าบริษัทได้รับเบี้ยประกันชีวิตไว้แล้ว เฉพาะกรณีที่เป็นนายหน้าประกันชีวิตที่ได้รับมอบอำนาจให้รับเบี้ยประกันเป็นหนังสือจากบริษัทเท่านั้น ดังนั้นเพื่อไมให้เกิดปัญหาผู้ทำประกันชีวิต จึงควรจ่ายเบี้ยประกันให้นายหน้าประกันชีวิตรับแทนบริษัทเฉพาะผู้ได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือให้รับเบี้ยประกันแทนบริษัทได้เท่านั้น
- การทำสัญญาประกันชีวิตในนามบริษัท
ตัวแทนประกันชีวิตอาจทำสัญญาประกันชีวิตในนามบริษัทได้ เมื่อได้รับหนังสือมอบอำนาจจากบริษัท แต่ไม่มีบทบัญญัติให้นายหน้าประกันชีวิตทำสัญญาในนามบริษัทได้
การทำสัญญาประกันชีวิตหลักสำคัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 และมาตรา 866 คือ
ผู้ทำประกันชีวิตจะต้องเปิดเผยความจริง หรือต้องไม่แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ผลของการไม่เปิดเผยความจริงหรือแจ้งข้อความอันเป็นเท็จที่หากผู้รับประกันชีวิตรู้ความจริงแล้วจะเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นหรือปฏิเสธไม่รับประกัน มีผลทำให้สัญญาประกันชีวิตนั้นเป็นโมฆียะ
โดยมีข้อยกเว้น ถ้าผู้รับประกันชีวิตรู้ความจริงอยู่แล้วหรือรู้ว่าผู้ทำประกันชีวิตแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ หรือควรจะรู้ถ้าได้ใช้ความระมัดระวังตามที่วิญญูชนทั่วไปสามารถคาดหมายได้ กฎหมายบัญญัติว่าสัญญาประกันชีวิตนั้นสมบูรณ์ใช้บังคับได้
ในกรณีทำประกันชีวิตผ่านนายหน้าประกันชีวิตและนายหน้าประกันชีวิต รู้ข้อความจริงอยู่แล้วหรือรู้ว่าผู้ทำประกันชีวิตแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ก็ยังถือไม่ได้ว่าบริษัทประกันชีวิตรับรู้ด้วยอันจะเข้าข่ายข้อยกเว้นของกฎหมายที่ให้ถือว่าสัญญาสมบูรณ์ใช้บังคับได้ เพราะนายหน้าประกันชีวิตไม่ใช่ตัวแทนของบริษัท แต่ถ้าทำประกันชีวิตผ่านตัวแทนประกันชีวิตที่ได้รับหนังสือมอบอำนาจให้ทำสัญญาในนามบริษัทได้และตัวแทนประกันชีวิตนั้นรู้ข้อความจริงอยู่แล้วหรือรู้ว่าผู้ทำประกันชีวิตแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ก็เข้าข่ายข้อยกเว้น สัญญาประกันชีวิตนั้นสมบูรณ์ใช้บังคับได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1333/2551)