“เบสท์กรุ๊ป”ทุ่มลงทุนไทย ปั้นธุรกิจส่งพัสดุโต10เท่า
ทุนโลจิสติกส์แดนมังกร ยึดไทยปั้นฮับ "ส่งพัสดุ" รับอานิสงส์อีคอมเมิร์ซโต "เบสท์ กรุ๊ป" ลุยลงทุนต่อเนื่อง เพิ่มคลังสินค้าเป็น 7 แห่ง ลุยแฟรนไชส์เปิดสาขาเพิ่มเป็น 2,000 แห่ง ในปี 2565
วิกฤติโรคโควิด-19 ระบาดสร้างความเสียหายให้เศรษฐกิจ ธุรกิจรอบร้อยปี ท่ามกลางธุรกิจเซ็กเตอร์จำนวนมากเดือดร้อน แต่ “การขนส่งพัสดุ” กลับยืนหนึ่งเติบโตได้ เพราะท่ามกลางมาตรการ “ล็อกดาวน์” ธุรกิจหน้าร้านต้องปิดให้บริการ ทำให้การชอปปิง ซื้อสินค้าออนไลน์โตพุ่งแรง ส่งต่อให้การขนส่งพัสดุรับอานิสงส์ออเดอร์ “ล้นตลาด”
สมรภูมิการขนส่งพัสดุในไทย ยังเต็มไปด้วย “ขาใหญ่” จากแดนมังกร และ “ทุนหนาปึ้ก!” ไม่ว่าจะเป็น เคอร์รี่ เอ็กซ์เพรส, แฟลช เอ็กซ์เพรส และเจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส เข้ามาท้าชนเจ้าตลาดอย่าง “ไปรษณีย์ไทย”
BEST Express (เบสท์ เอ็กซ์เพรส) คืออีกรายที่เป็น “หน้าใหม่” เข้ามาทำตลาดเข้าปีที่ 2 สถานการณ์โควิดทำให้เห็นความต้องการส่งพัสดุเติบโตดีมาก จึงเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง แผนเดิมวางงบประมาณกว่า 5,000 ล้านบาท ลงทุนใน 5 ปี ทั้งการขนส่ง เทคโนโลยี ซัพพลายเชน ระบบ รวมถึงคลังสินค้า ส่วนปีนี้ลงทุน 300 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจรองรับการเติบโต
“จากบทเรียนโควิดจากจีนถึงไทย ยอดการส่งพัสดุเติบโตสูงมาก จีนเราส่งวันละ 30 ล้านชิ้น แม้สถานการณ์โควิดคลี่คลาย ยอดส่งพัสดุยังไม่ตก ส่วนไทยเติบโตเช่นกัน แต่พอคลายล็อกดาวน์ยอดตกบ้างเล็กน้อย เพราะผู้บริโภคต้องการไปชอปปิงที่ห้างค้าปลีก แต่จากสถานการณ์ดังกล่าวแนวทางธุรกิจของเรามีแต่จะลงทุนเพิ่ม” มุมมองจาก เจสัน เชียน ผู้จัดการทั่วไปภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประธานกรรมการ เบสท์ ประเทศไทย บริษัท เบสท์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี(ประเทศไทย) จำกัด
หนึ่งในการลงทุนที่จะเห็นปีนี้คือสร้างคลังสินค้าเป็น 7 แห่ง จากปัจจุบันมี 4 แห่งทั่วไทย มีพื้นที่รวม 8,000 ตารางเมตร(ตร.ม.) รวมถึงลงทุนด้านเทคโนโลยีทั้งระบบจัดเรียงสินค้าอัตโนมัติ การขนส่ง เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้พันธมิตรขนส่งสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขณะเดียวกัน จะเพิ่มสาขาของร้านส่งพัสดุเบสท์ เอ็กซ์เพรสในรูปแบบแฟรนไชน์ให้ได้ 2,000 สาขา ภายในปี 2565 จากปัจจุบันมี 500 สาขา และภายในปีนี้จะขยายเพิ่มเป็น 800 สาขาทั่วประเทศ
สำหรับประเทศไทยการขนส่งพัสดุช่วงปี 2560-2562 มีการเติบโตเฉลี่ย 40% สอดคล้องกับการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซที่โตเฉลี่ย 40% ขณะที่เบสท์ เอ็กซ์เพรส มียอดการส่งพัสดุเฉลี่ย 2.5 แสนชิ้นต่อวัน และจะรักษาโมเมนตัมการเติบโตดังกล่าวไว้
อย่างไรก็ตาม จากแผนธุรกิจดังกล่าว บริษัทตั้งเป้าหมายการส่งพัสดุปี 2563 เติบโต 10 เท่า ส่วนตลาดรวมการส่งพัสดุในปี 2564 คาดว่าจะเติบโต 100% จากปี 2563
“วิกฤติโควิดให้บทเรียนหลายด้าน แต่ที่สำคัญคือ สร้างการเปลี่ยนแปลงให้ธุรกิจครั้งใหญ่และเยอะมาก การขนส่งโลจิสติกส์ หลายบริษัทพอเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท แต่ไม่สามารถไปต่อไปเพราะไม่เปลี่ยนแปลง แต่เราเรียนรู้และเตรียมการรับมือแต่ละสถานการณ์ตลอด อย่างโควิดได้เปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ที่ไม่เคยใช้มาก่อน การรับผิดชอยบต่อสังคมมีบทบาทมากขึ้น หลายบริษัทปิดตัวปิดให้บริการ แต่เราต้องใส่หน้ากาก กล้าๆ กลัวๆเพื่อไปส่งของในขณะที่ทุกคนกักตัวอยู่บ้าน และความต้องการส่งพัสดุที่ล้นตลาดทำให้แผนงานอนาคตเราต้องลงทุนเพิ่ม” เจสัน กล่าว
นอกจากตลาดส่งพัสดุในไทยเป็นโอกาส ตลาดอาเซียนยังเป็นอีก “ขุมทรัพย์ใหญ่” ของเบสท์ เอ็กซ์เพรสด้วย เพราะผลบวกจากโควิดทำให้ธุรกิจอีเมิร์ซในภูมิภาคอาเซียนเติบโต 16 เท่า ภายในปี 2568 มูลค่าการใช้จ่ายจะแตะ 8.8 หมื่นล้านดอลลาร์ เติบโตเฉลี่ย 32% และเทียบกับตลาดค้าปลีกจะอยู่ที่ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ ปัจจัยดังกล่าวยิ่งทำให้การขนส่งพัสดุโตวันโตคืน
ด้าน โทนี่ เจิ้ง ผู้จัดการทั่วไป เบสท์ เอ็กซ์เพรส บริษัท เบสท์ โลจิสติกส์เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การบริหารความเสี่ยงธุรกิจช่วงโควิดบริษัทไม่ชะลอการลงทุน เพราะดีมานด์การขนส่งพัสดุโดยภาพรวมทุกเจ้ามีออเดอร์ “ล้นตลาด” มาก แม้โควิดจะคลี่คลายประเมินว่าความต้องการจะไม่เปลี่ยนแปลงลดลง
“ความต้องการของผู้บริโภคไม่หายแน่นอน เราต้องลงทุนรองรับการเติบโตในอนาคต”
สำหรับแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง ระยะสั้นมุ่งเปิดร้านเบสท์ เอ็กซ์เพรสไปยังหัวเมืองหลักมากขึ้นเพื่อให้แฟรนไชส์ในแต่ละจังหวัดได้เข้าถึงการทำการตลาดท้องถิ่นของตนเอง สร้างศูนย์กระจายสินค้าเพื่อศูนย์กลางซัพพลายเชน(HUB) ส่วนระยะยาวเตรียมผนึกกำลังเครือข่ายของเบสท์ เอ็กซ์เพรส ทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านภูมิภาคอาเซียน สร้างความแข็งแกรงภายใต้ “BEST Global” ผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน