เปิดเอกสารอัยการ ไม่สั่งฟ้อง 'บอส อยู่วิทยา'
เปิดเอกสารอัยการไม่สั่งฟ้อง "บอส อยู่วิทยา"
ผู้สื่อข่าาวรายงานว่า สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้เปิดเผยรายละเอียดสำนวนอัยการในกรณีสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ในคดีขับรถชนตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อปี 2555 โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ 10 ประเด็น ดังนี้
1.เปิด ‘ข้อหา’ ในคดี
คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ซึ่งเอกสารเรียกว่าเป็น ผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหา ‘ขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถอื่นเสียหาย และมีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร แก่ผู้ได้รับความเสียหาย และไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานในทันที ขับรถในขณะเมาสุรา เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด’
ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 เวลา ประมาณ 05.20 นาฬิกา ขณะที่ผู้ต้องหาที่ 1 กำลังขับขี่รถยนต์นั่งส่วนบุคคล เฟอร์รารี่ หมายเลขทะเบียน ---- กรุงเทพมหานคร ไปตามถนนสุขุมวิท ฝั่งขาออกในช่องทางเดินรถที่ 3 ติดกับเกาะกลางถนน จากบริเวณปากซอยสุขุมวิท 45 มุ่งหน้าไปทางพระโขนง เมื่อถึงบริเวณระหว่างปากซอยสุขุมวิท 47 และปากซอยสุขุมวิท 46 ได้ชนท้ายรถจักรยานยนต์ตราโลห์ เลขทะเบียน ---- ซึ่งมีผู้ต้องหาที่ 2 เป็นผู้ขับขี่ เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่ ล้มลงครูดไถลไปตามพื้นถนน หยุดอยู่ที่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 49 ร่างของผู้ต้องหาที่ 2 พลัดตกจากรถจักรยานยนต์ขึ้นไปกระแทกกระจกรถยนต์นั่งส่วนบุคคล คันที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่ แล้วตกลงไปที่พื้นถนน ชิดเกาะกลางถนน ถึงแก่ความตายผู้ต้องหาที่ 1 ไม่ได้หยุดรถภายหลังเกิดเหตุ แต่ได้ขับขี่หลบหนีเข้าไปภายในบ้านพัก เลขที่ 9 ซอยสุขุมวิท 53
พนักงานสอบสวนได้เดินทางไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ จากการสืบสวนพบคราบน้ำมัน ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ของผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่ขณะเกิดเหตุ จอดอยู่ชั้นใต้ดิน และพบผู้ต้องหา นำตัวผู้ต้องหามอบต่อพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนได้แจ้งเจ้าพนักงานตำรวจ กองพิสูจน์หลักฐานเดินทางไปตรวจเก็บวัตถุพยานจากรถยนต์คันดังกล่าว และยึดรถยนตร์นั่งส่วนบุคคลคันดังกล่าวเป็นของกลาง ส่งตรวจร่องรอยความเสียหายทางวิทยาการ พร้อมกับรถจักรยานยนต์ คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่ขณะเกิดเหตุ นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนได้ส่งตัวผู้ต้องหาที่ 1 ไปตรวจหาสารเสพติดและปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในวันเดียวกัน
2.พนักงานสอบสวน มีความเห็นสั่งฟ้อง
ชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาที่ 1 ให้การปฏิเสธ ผู้ต้องหาที่ 2 ถึงแก่ความตาย พนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ฐานขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถอื่นเสียหาย และมีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร แก่ผู้ได้รับความเสียหาย และไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานในทันที ขับรถในขณะเมาสุรา เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ฐานขับรถในขณะเมาสุรา เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
3.อ่านคำวินิจฉัย สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้
คำวินิจฉัย สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ ได้มีความเห็นและคำสั่งทางคดี โดยสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถอื่นเสียหาย และมีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร แก่ผู้ได้รับความเสียหาย และไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานในทันที ขับรถในขณะเมาสุรา เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ฐานขับรถในขณะเมาสุรา เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จึงมีคำสั่งยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ชนรถของผู้อื่นเสียหาย
ต่อมาได้เสนอความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถในขณะเมาสุรา เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายไปยังอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้เพื่อพิจารณา เนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีสำคัญที่ประชาชนสนใจ
อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ พิจารณาแล้ว มีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถอื่นเสียหายและมีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหาย แก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือพร้อมทั้งไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงในทันที และขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ฐานขับรถในขณะเมาสุรา เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามพระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (2) , 160 ตรี และมีคำสั่งยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ชนรถของผู้อื่นเสียหาย ตามพระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157 ซึ่งต่อมาผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถในขณะเมาสุรา เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
4.ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และขับรถโดยประมาทฯ ขาดอายุความ
ในระหว่างเสนอสำนวนไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถในขณะเมาสุรา เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้ต้องหาได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดหลายครั้ง ซึ่งอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนสอบสวนเพิ่มเติมตามหนังสือร้องขอความเป็นธรรม
แต่ในระหว่างรอผลการสอบสวนเพิ่มเติม ปรากฏว่าข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และขับรถโดยประมาทอันอาจจะเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน จะขาดอายุความฟ้องร้องในวันที่ 3 กันยายน 2556 สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ จึงมีหนังสือแจ้งพนักงานสอบสวนให้ส่งตัวผู้ต้องหาที่ 1 มาพบพนักงานอัยการเพื่อฟ้องคดี แต่ผู้ต้องหาที่ 1 ไม่มาตามกำหนดนัด โดยมอบอำนาจให้ทนายมาขอเลื่อน สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ เห็นว่าผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์หลบหนี จึงมีหนังสือแจ้งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ ร้องขอต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาที่ 1 แล้วจัดส่งมาให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ เพื่อแจ้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จัดการให้ได้ตัวผู้ต้องหาที่ 1 มาฟ้องภายในอายุความ
แต่จนถึงวันที่ 3 กันยายน 2556 พนักงานสอบสวนไม่ได้ส่งตัวผู้ต้องหาที่ 1 มายังพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ เป็นเหตุให้ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และขับรถโดยประมาทอันอาจจะเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินขาดอายุความ พนักงานอัยการจึงมีคำสั่งยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และขับรถโดยประมาทอันอาจจะเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน ตามพระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4), 67, 152, 157 เพราะเหตุคดีขาดอายุความ ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ข้อ 54 (6)
5.อัยการยุติการดำเนินคดี ข้อหาขับรถก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่นฯ
ต่อมาวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 อัยการสูงสุดมีคำสั่งยุติเรื่องขอความเป็นธรรมขอผู้ต้องหา ที่ 1 สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ จึงมีหนังสือแจ้งเตือนให้พนักงานสอบสวน ส่งหมายจับผู้ต้องหาที่ 1 ให้แก่พนักงานอัยการ แต่พนักงานสอบสวนก็ไม่ดำเนินการ ทั้งผู้ต้องหาที่ 1ก็ยื่นหนังสือขอเลื่อนการฟังคำสั่งทางคดีของพนักงานอัยการโดยตลอดจนกระทั่งวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อได้ส่งสำเนาหมายจับและตำหนิรูปพรรณ ของผู้ต้องหาที่ 1 มายังพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้เพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ ได้มีหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขอให้จัดการให้ได้ตัวผู้ต้องหาที่ 1 มาฟ้องคดีภายในอายุความ 15 ปี นับแต่วันกระทำความผิด
ต่อมาวันที่ 3 กันยายน 2560 พนักงานสอบสวนยังไม่สามารถจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 ตามหมายจับมาส่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้เพื่อยื่นฟ้องได้ เป็นเหตุให้ข้อหาขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควร และไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียง ขาดอายุความ พนักงานอัยการจึงมีคำสั่งยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควร และไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียง ตามพระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78, 160 เพราะเหตุคดีขาดอายุความตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ข้อ 54 (6)
6. ‘บอส’ ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม-อสส.สั่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติม
ภายหลังจากที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ยุติเรื่องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาที่ 1 ไปแล้ว ผู้ต้องหาที่ 1 ยังคงยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดหลายครั้ง รวมถึงยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมมาธิการกฎหมายกระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ( สนช. 2557 ) ด้วย จนอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมตามหนังสือร้องขอความเป็นธรรมอีกหลายครั้ง ต่อมารองอัยการสูงสุด ( อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูง ขณะรักษาการในตำแหน่ง รองอัยการสูงสุด ) พิจารณาผลการสอบสวนเพิ่มเติมแล้ว มีความเห็นว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องพิจารณา เฉพาะข้อกล่าวหาของผู้ต้องหาที่ 1ว่าขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 ตามที่อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ มีคำสั่งฟ้องว่ามีข้อเท็จจริงใหม่เพียงพอที่จะกลับความเห็นและคำสั่งเดิมหรือไม่ อย่างไร
ซึ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อเหตุที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ( โดยอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ) มีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ในความผิดฐานนี้ เนื่องจากได้ความจากพันตำรวจตรี ท.( สงวนชื่อและนามสกุลจริง ) ผู้ตรวจสอบความเร็วของรถยนต์ ว่าขณะเกิดเหตุ รถยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับ แล่นด้วยความเร็วเฉลี่ย 177 กม.ต่อชั่วโมง
7. ผู้ตรวจสอบความเร็วรถยนต์ ยืนยัน ขับด้วยความเร็วเฉลี่ยมากกว่า 100 กม.ต่อ ชม
พันตำรวจตรี ท. ผู้ตรวจสอบยืนยันว่าการคำนวณดังกล่าวอาจมีความคลาดเคลื่อน (จากความเร็วเฉลี่ย 177 กม.ต่อชั่วโมง ) มากขึ้นหรือน้อยลง ประมาณ 17 กม.ต่อชั่วโมง ซึ่งความเร็วดังกล่าวเกินกว่าความเร็วของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่จะแล่นได้ภายในกรุงเทพมหานคร ( 80กิโลเมตรต่อชั่วโมง ) ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2522 ข้อ 1 (3) ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2522 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 5 , 67 วรรคแรก การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยประมาท ปราศจากความระมัดระวังในการขับรถ
8.ผู้เชี่ยวชาญ-พยาน อ้าง เฟอร์รารี่คันก่อเหตุ ขับไม่ถึง 80 กม.ต่อ ชม.
ต่อมาเมื่อมีการร้องขอความเป็นธรรม ได้มีการสอบสวนพยานบุคคลผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม คือ พันตำรวจโท ก.และพันตำรวจโท ข. พยานผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจดูสภาพความเสียหายของรถทั้งสองคัน เปรียบเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเฉี่ยวชนในคดีอื่น แล้วต่างให้การประเมินความเร็วของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่ขณะเกิดเหตุชนรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่ ว่าไม่ใช่ความเร็วประมาณ 170 กม.ต่อชั่วโมง
และจากการสอบสวน รศ.ดร. ส. พยานบุคคลผู้เชี่ยวชาญ ( เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2560 ) ในประเด็นเกี่ยวกับการคำนวณความเร็ว ของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ได้ความว่า ความเร็วของรถยนต์ Ferrari FF ก่อนเกิดเหตุ จะได้ความเร็วประมาณ 76.175 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งใกล้เคียงกับความเห็นของพันตำรวจโท ก. ที่ตรวจร่องรอยความเสียหายของรถทั้งสองคันแล้ว สันนิษฐานว่ารถทั้งสองคันแล่นนำ จะแล่นด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และความเห็นของพันตำรวจตรี ท.ผู้ตรวจสอบความเร็วของรถยนต์ (ต่อมามียศเป็นพันตำรวจโท ขณะให้การเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2559 ) ว่าจากการคำนวณหาความเร็วโดยวิธีใหม่ ได้ความเร็วของรถยนต์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่ ประมาณ 79.23 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
9.พยาน 2 ราย โผล่ให้การปลายปี 62 อ้างเห็นเหตุการณ์ ทายาทกระทิงแดงขับรถไม่ถึง 80 กม./ชม.
ต่อมาเมื่อมีการร้องขอความเป็นธรรมในครั้งนี้อีกและมีการสอบสวนพยานบุคคลเพิ่มเติมคือพลอากาศโท จ. และนาย ช. เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2562 ได้ความว่าพยานทั้ง 2 ขับรถยนต์แล่นตามหลังรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มาด้วยความเร็วไม่เกิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ( ปรากฏในภาพกล้องวงจรปิด ) ให้การว่าผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถยนต์มาด้วยความเร็วประมาณ 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
10.อัยการสั่งไม่ฟ้อง ‘บอส อยู่วิทยา’ เหตุสุดวิสัย ผู้ตายประมาทเอง ปราศจากความระมัดระวัง
เมื่อพยานสองปากเป็นประจักษ์พยานในขณะเกิดเหตุ ให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับคดี ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวสอดคล้องกับคำให้การของพยานผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวข้างต้น ข้อเท็จจริงจึงเชื่อว่าขณะเกิดเหตุ ผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถยนต์แล่นมา ในช่องทางเดินรถที่ 3 ชิดเกาะกลางถนน ด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โดยนาย ช.ขับรถยนต์กระบะแล่นมา ในช่องทางเดินรถที่ 2 ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่รถจักรยานยนต์แล่นมาช่องทางเดินที่ 1 ด้านซ้าย แล้วผู้ต้องหาที่ 2 ได้ขับรถจักรยานยนต์เปลี่ยนช่องทางเดินรถ ผ่านช่องทางเดินรถที่ 2 ที่นาย ช.ขับรถมา
นาย ช.ชะลอความเร็วของรถลง และหักพวงมาลัยหลบไปทางซ้ายเพื่อไม่ให้ชนกับรถจักรยานยนตร์ที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มา แต่รถจักรยานยนตร์ที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มาได้แล่นเข้าไปในช่องทางเดินรถที่ 3 ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถแล่นมาในระยะกระชั้นชิด จึงทำให้รถยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่มา ชนท้ายรถจักรยานยนต์ คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มา เป็นเหตุให้ผู้ต้องหาที่ 2 ถึงแก่ความตาย
รถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย เมื่อเหตุที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่รถจักรยานยนตร์เปลี่ยนช่องทางเดินรถ เข้าไปในช่องทางเดินรถที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่มา ด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในระยะกระชั้นชิด ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ไม่สามารถหลบหลีกและหยุดรถได้ทันท่วงที เหตุที่เกิดขึ้นจึงเป็นเหตุสุดวิสัย มิใช่เกิดจากความประมาทปราศจากความระมัดระวัง ของผู้ต้องหาที่ 1 แต่เกิดจากความประมาท ปราศจากความระมัดระวัง ของผู้ต้องหาที่ 2 ที่เปลี่ยนช่องทางเดินรถในระยะกระชั้นชิด
การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 จึงไม่มีความผิด ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 คดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง ผู้ต้องหาที่ 1 ในความผิดฐานนี้ และเป็นกรณีกลับความเห็นและคำสั่งเดิมของระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ข้อ 6 วรรคท้าย,44 อนึ่ง ฝ่ายผู้ต้องหาที่ 2 ( ผู้ตาย ) ได้รับการชดใช้ค่าเสียหาย ค่าสินไหมทดแทนจากผู้ต้องหาที่ 1 จนเป็นที่พอใจ และไม่ประสงค์จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา กับผู้ต้องหาที่ 1 อีกต่อไปจึงมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐาน กระทำการโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2560 มาตรา 4