ฝ่า 'วิกฤติลงทุน' ครึ่งปีแรก

ฝ่า 'วิกฤติลงทุน' ครึ่งปีแรก

เปิดบทวิเคราะห์วิกฤติการลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ฝันร้ายของนักลงทุนที่ต้องเผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดคือ ทองคำ ส่วนผลตอบแทนต่ำที่สุดคือ สินค้าโภคภัณฑ์ และสำหรับในครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไรต่อไป

นักลงทุนทุกคนคงเห็นพ้องต้องกันว่า ครึ่งแรกของปีนี้ผ่านไปเหมือนฝันร้าย แต่ก็ไม่ใช่ฝันร้ายตลอด 6 เดือน โดยเดือนมีนาคมจะเป็นเดือนที่ฝันร้ายสุดๆ และค่อยผ่อนคลายลงในเดือนเมษายน และพฤษภาคม

สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนแบบผสมผสาน และติดตามการจัดพอร์ตการลงทุนที่ดิฉันแนะนำ ขอเรียนให้ทราบว่า รูปแบบพอร์ต 5 แบบที่แนะนำไปในเดือนมกราคม นั้น ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ไม่มีพอร์ตใดติดลบเลยค่ะ

ใน 6 เดือนแรกของปี 2563 สินทรัพย์หลักที่ดิฉันติดตามและนำเสนอข้อมูลเป็นระยะๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดคือ ทองคำ ซึ่งให้ผลตอบแทน 38% โดยมีค่าความผันผวน 13.21% รองลงมาคือ หุ้นของตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก วัดจากดัชนี MSCI World ให้ผลตอบแทน 20.31% มีค่าความผันผวน 19.94% ตามมาด้วยพันธบัตรรัฐบาลไทย ให้ผลตอบแทน 16.82% มีค่าความผันผวน เพียง 3.49% ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น นิเคอิ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 11.36% มีค่าความผันผวน 18.28% ดัชนีดาวโจนส์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.65% ค่าความผันผวน 25.26% ดัชนีหุ้นในตลาดเกิดใหม่ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.83% มีค่าความผันผวน 16.59%

ส่วนสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดคือ สินค้าโภคภัณฑ์ โดยขาดทุนถึง 18.75% มีค่าความผันผวน 19.67% รองลงมาเป็น หุ้นไทย ขาดทุน 14.38% มีค่าความผันผวน 18.98% ถัดมาคือน้ำมัน ให้ผลขาดทุน 13.52% แต่ค่าความผันผวนมากมายถึง 235.15% และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โลก ให้ผลขาดทุน 1.21% โดยมีค่าความผันผวน 23.93%

พอร์ตการลงทุนแบบอนุรักษนิยมที่แนะนำไว้ คาดหวังผลตอบแทน 3.63% แต่ได้มาถึง 5.87% ส่วนพอร์ตความเสี่ยงปานกลาง คาดหวังผลตอบแทนไว้ 4.88% ได้มา 4.74% และพอร์ตรับความเสี่ยงได้เพิ่ม คาดหวังผลตอบแทน 5.23% ได้มา 5.13% ถือว่าใกล้เคียงทั้งสองพอร์ต ส่วนพอร์ตเสี่ยงได้สูง คาดหวัง 5.65% ได้มา 6.32% และพอร์ตเสี่ยงสูงมาก คาดหวัง 6.53% ได้มา 5.23% ค่ะ

สรุปคือ มีสามพอร์ตที่ได้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่คาดไว้ คือพอร์ตรับความเสี่ยงปานกลาง พอร์ตรับความเสี่ยงได้เพิ่ม และพอร์ตเสี่ยงสูงมาก อย่างไรก็ดี การคาดการณ์ผลตอบแทนนี้เป็นการคาดการณ์ทั้งปี เพราะฉะนั้นก็ยังมีเวลาเหลืออยู่อีก 5 เดือนค่ะ คาดว่าทุกพอร์ตน่าจะบรรลุเป้าหมายได้ครบ

ทั้งนี้ ต้องตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ค่าความผันผวนในครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นมีที่มีเหตุการณ์พิเศษเรื่องโรคระบาด ไวรัสโควิด-19 มีตัวเลขสูงมากค่ะ ดิฉันตั้งข้อสังเกตไปแล้วว่าในสองปีที่ผ่านมา ค่าความผันผวนในการลงทุนลดลงไปต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และเป็นห่วงว่าอาจมีความผันผวนแรงๆ เกิดขึ้น

159647361261

ค่าความผันผวนในครึ่งแรกของปี ของพอร์ตแรกที่เป็นแบบอนุรักษนิยม เท่ากับ 9.1% จากที่คาดไว้ 5.58% พอร์ตความเสี่ยงปานกลาง มีค่าความผันผวน 11.91% จากที่คาดไว้ 7.47% พอร์ตเสี่ยงได้เพิ่ม มีค่าความผันผวน 12.83% จากที่คาดไว้ 8.06% พอร์ตเสี่ยงได้สูง มีค่าความผันผวน 13.93% จากที่คาดไว้ 8.8% และพอร์ตเสี่ยงสูงมาก มีค่าความผันผวน 16.61% จากที่คาดไว้ 10.4%

จะเห็นว่า การจัดพอร์ตการลงทุนแบบผสมจะช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน ทำให้สินทรัพย์ไม่กระจุกตัวอยู่ในประเภทใดประเภทหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็เพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์หลายๆประเภท ทั้งนี้ ในช่วงเวลาใดที่เห็นว่าสินทรัพย์ใดจะมีแนวโน้มไม่ดี หรือมีความเสี่ยงสูงเกินไป เราก็สามารถหลีกเลี่ยงไม่ลงทุนได้ เช่น ในพอร์ตทั้ง 5 พอร์ต ดิฉันไม่แนะนำให้ลงทุนในโภคภัณฑ์เลยในปีนี้ ซึ่งรวมถึงน้ำมันด้วย

ท่านผู้อ่านที่สนใจลงทุนในลักษณะพอร์ตแบบผสมอย่างนี้ ต้องผสมกองทุนหลายกองทุนหน่อยค่ะ เพราะส่วนใหญ่กองทุนแบบผสม ก็จะไม่ค่อยมีการลงทุนในต่างประเทศ หรือทองคำ ท่านก็ต้องแบ่งเงินออกมาลงทุนเพิ่มในกองทุนรวมเหล่านี้ ด้วยตนเอง

สำหรับพอร์ตการลงทุนที่มีการกระจายการลงทุนครบ น่าจะเป็นพอร์ตของ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือ กบข. เพราะลงทุนทั้งในประเทศ ต่างประเทศ และกระจายการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ต่างๆอย่างทั่วถึง โดยมีการทบทวนน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ต่างๆ เป็นระยะๆ และสมาชิกยังสามารถเลือกแผนการลงทุนตามความสามารถในการรับความเสี่ยงและการคาดหวังผลตอบแทนของตนเองได้ด้วยค่ะ มีให้เลือกถึง 7 แผน แต่แผนผสมผสานมี 4 แผนค่ะ ที่เหลือเป็นแผนตราสารทุนไทย และแผนตราสารหนี้ กับตลาดเงิน ซึ่ง ตราสารหนี้กับตลาดเงินนั้น เหมาะสำหรับผู้ต้องการลงทุนระยะสั้น ที่ไม่ต้องการความผันผวน เพราะผลตอบแทนที่คาดหวังจะน้อย

สำหรับในครึ่งปีหลัง ผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆ น่าจะเพิ่มขึ้นน้อยกว่าในครึ่งแรกของปี โดยเฉพาะพันธบัตรและหุ้นกู้ อาจจะคาดหวังได้เพียงให้เดินไปตามดอกเบี้ยที่จะได้รับ คงไม่มีกำไรจากมูลค่าเพิ่มให้เห็นมากๆแบบช่วงที่ผ่านมาที่มีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายค่ะ ส่วนหุ้นทุนจะเห็นผู้แพ้ผู้ชนะชัดเจนขึ้น จึงต้องคัดสรรทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมและตัวบริษัท

นอกจากนี้ ต้องจับตาดูทองคำนะคะ เนื่องจากราคาขึ้นมามากแล้ว ณ ราคา 1,960 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไม่แนะนำให้ซื้อเพิ่ม ควรซื้อเมื่ออ่อนตัวเท่านั้น แต่ผู้ที่ถือลงทุนอยู่แล้ว สามารถรอขายทำกำไรหลังจากขึ้นไปสูงสุดได้ หมายถึง ขายเมื่อเริ่มตกก็ยังทันค่ะ และหากซื้อกองทุนทองคำ ควรซื้อกองทุนที่มีการทำประกันความเสี่ยงค่าเงินนะคะ เพราะเงินดอลลาร์สหรัฐยังมีแนวโน้มอ่อนตัวต่อไปค่ะ

ทั้งนี้อย่าลืมนะคะว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง