เป็นบิ๊กชาเลนจ์! ของอุตสาหกรรมบิวตี้ในปีนี้ที่ต้องเผชิญภาวะยอดขายหดตัวแรงครั้งแรกในรอบทศวรรษทีเดียวจากพิษโควิดที่ส่งกระทบต่อการใช้จ่ายที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง
แม้ช่วง “ล็อกดาวน์” จะมีการใช้แพลตฟอร์ม “ออนไลน์” เข้ามาช่วยพยุงธุรกิจด้วยยอดที่เติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ “ออฟไลน์” หรือการจำหน่ายที่หน้าร้านยังเป็นช่องทางสร้างรายได้หลัก! จึงไม่สามารถทดแทนกันได้มากนัก ยิ่ง ใบหน้าของสาวๆ ที่ต้องถูกปกปิดมากกว่า 50% จากการสวมใส่หน้ากากอนามัย แน่นอนว่าทำให้การใช้สินค้าความงามลดลง โดยเฉพาะพอร์ตใหญ่ “เมคอัพ” ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งพลิกกลยุทธ์
กิตติพนธ์ นามพิชญ์ธนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ฐิติพรรณ ภัควัฒน์ธเนศ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท คิสออฟบิวตี้ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและบำรุงผิว ร่วมกันฉายภาพว่า สภาวะการณ์ของโลกและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงจากกำลังซื้อ เศรษฐกิจ การแข่งขันที่รุนแรงในตลาด ทำให้ คิสออฟบิวตี้วางแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจใหม่เพื่อขับเคลื่อนการเติบโต
โดยมุ่ง "ต่อยอด" จาก “จุดแข็ง” ในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับกลิ่นหอม ด้วยการขยายไลน์สินค้าน้ำหอมสู่แบรนด์ต่างๆ
พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มไฮยีน แอนด์ โพรเทคชั่น (Hygiene & Protection) รองรับดีมานด์! ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความสะอาดและปลอดภัยมากขึ้น เป็นเมกะเทรนด์! ที่อยู่อีกยาวนานหลังโควิด นับเป็นการประกาศตัวก้าวสู่ตลาดสินค้าอุปโภค-บริโภค (FMCG) อย่างเต็มตัว! โดยใช้ “นวัตกรรม” และการตั้งราคาที่เหมาะสม (Affordability) สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในการเจาะตลาดเข้าถึงลูกค้า ที่มองไกล! ไม่ใช่เพียงในประเทศไทยแต่เป็นระดับอาเซียน คือ เป้าหมายใหญ่ในอนาคต
การปรับพลิกเกมครั้งใหญ่ในรอบธุรกิจกว่า 7 ปีของ คิสออฟบิวตี้ จากจุดเริ่มต้นเปิดตลาดเครื่องสำอาง และ สกินแคร์ สร้างชื่อแบรนด์ไทยในการบุกเบิกตลาดโลชั่นน้ำหอม จนคว้าสุดยอดสินค้าขายดี Health Wellness and Beauty Awards โดยวัตสัน ประเทศไทย ประเภท “โลชั่นน้ำหอมยอดขายดีที่สุด” ต่อเนื่อง 4 ปี ยอดขายรวมปี 2562 มูลค่า 264.5 ล้านบาท เติบโต 82% ส่วนปีนี้เดิมคาดว่าจะขยายตัวอย่างน้อย 60% ถูกปรับลดลงตามสภาพการณ์คาดเติบโต 14% ต่ำสุดนับจากเปิดกิจการในปี 2556
ขณะที่ข้อมูลจากยูโรมอนิเตอร์ พบว่าตลาดสกินแคร์ เคยเติบโตเฉลี่ย 6-8% ทุกปี ปี 2562 ขยายตัว 7.28% ส่วนปีนี้คาดไม่มีการเติบโต ตลาดน้ำหอม จากเติบโต 6.01% เมื่อปีก่อนหดตัวแรง 8.3% จะเริ่มเห็นสงครามราคาของแบรนด์ต่างๆ ที่เคยจัดโปรโมชันลดสูงสุด 50% เวลานี้ถล่มราคาถึง 70% ด้วยแคมเปญ “ถี่ยิบ”
"เราต้องคิดและตอบโจทย์ด้านผลิตภัณฑ์ให้ตรงโจทย์วิกฤติโควิดที่ไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไร ผู้คนจำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยลูกค้าไม่สามารถเติมความสวยได้ 100% ขณะที่การแข่งขันในธุรกิจความงามวันนี้เราจะเห็นสงครามราคาครั้งใหญ่ในรอบหลายปีเพื่อช่วงชิงยอดขาย แต่กำลังซื้อไม่เพิ่มขึ้น ต้องมองหาโอกาสใหม่"
ทั้งนี้ การขยายแบรนด์ต่างๆ สู่ไลน์ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับกลิ่นหอม เป็นการใช้ความเชี่ยวชาญของคิสออฟบิวตี้ มาเร่งพัฒนาสินค้าให้ตรงตามความต้องการในช่วงเวลานั้นๆ และกระจายออกสู่ตลาดอย่างเร็วที่สุด เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้า ผ่านแบรนด์ยูมะ (Yuma) มี 4 ประเภทผลิตภัณฑ์ ได้แก่ น้ำยาฆ่าเชื้อโรคผสมแอลกอฮอล์, เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ, ทิชชู่เปียกผสมแอลกอฮอล์ และ หน้ากากอนามัย รวมทั้ง แบรนด์วิงค์เคิล (Winkel) ประเดิมด้วยสินค้าแรก ฟองน้ำนาโน
ปัจจุบัน คิสออฟบิวตี้มี 9 แบรนด์ 11 ประเภทสินค้าในพอร์ตครอบคลุมชีวิตประจำวันของลูกค้า นอกจาก 2 แบรนด์ข้างต้น ประกอบด้วย แบรนด์ มาลิสสา คิส (Malissa Kiss) มี 4 โปรดักท์โลชั่นน้ำหอม, สเปรย์น้ำหอม, เจลว่านหางจระเข้ และเครื่องสำอาง มุนอา เฮ้าส์ (MoonA House) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ทูซัมวัน (2Some1) โลชั่นน้ำหอม สกินออกซี่ (Skinoxy) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว แทงกีโมรี (Daeng Gi Meo Ri) ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม จูเลียต โคล (Juliet Cole) ผลิตภัณฑ์น้ำหอม คลารีน่า (Claryna) เครื่องทำความสะอาดผิวหน้า
คิสออฟบิวตี้ยังเร่งพัฒนา “อีคอมเมิร์ซ” ให้แข็งแกร่งเพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางสร้างรายได้แห่งอนาคต จากช่วงต้นปีมีสัดส่วนยอดขายเพียง 1% พุ่งเป็น 10% ในปัจจุบัน ตั้งเป้า 5 ปีข้างหน้าเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% พร้อมๆ กับการขยายตลาดภูมิภาคที่คาดว่ารายได้จะเพิ่มเป็น 30% ใน 5 ปีจาก 10% ในขณะนี้ส่งออกไป จีน ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย ก้าวสู่แบรนด์อาเซียนเต็มตัว!