ล้างภาพลวงตา'ภูเก็ต' แดนสวรรค์คนไทยเอื้อมถึง

เศรษฐกิจที่ซบเซาในภูเก็ต หลังจากปิดน่านฟ้าเพราะไวรัสโคโรนา (โควิด-19) จึงต้องเร่งเยียวยาฟื้นฟูให้กลับมาเปิดได้โดยเร็วที่สุด เพื่อต่อลมหายใจให้ธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจเกี่ยวข้อง ที่จะส่งผลต่อการจ้างงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในจังหวัดถึง 80%

ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยสถานการณ์ท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตหลังเจ็บหนักจากพิษโควิดว่า ภูเก็ตเคยเป็นจังหวัดที่เคยได้รับความนิยมอย่างสูง ในช่วงก่อนโควิด มีรายได้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พึ่งพาธุรกิจท่องเที่ยวถึง 80% ที่สำคัญสัดส่วน 2 ใน 3 พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยการเดินทางส่วนใหญ่ผ่านสายการบิน 70% 

กลายเป็นปมปัญหาหลัก (Pain Point) ทำให้คนไทยมองภูเก็ตไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวสำหรับคนไทย เพราะราคาสูง คนไทยเข้าไม่ถึง เมื่อเกิดโควิด จึงไม่แปลกที่ภูเก็ตจะเป็นจังหวัดที่เจ็บหนักที่สุดในสนามรบโควิด 

อย่างไรก็ตาม โควิดกลายเป็นโอกาสในวิกฤติ ที่ทำให้ภูเก็ตหันมาปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งถือว่ามีความเปราะบางต่อสถานการณ์โลก ตราบใดที่น่านฟ้ายังไม่เปิดก็ขาดเม็ดเงินมาหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ 

สิ่งที่ททท. จะต้องทำคือ การสร้างการรับรู้ สร้างการจดจำภูเก็ต ในภาพลักษณ์ใหม่ในสายตาคนไทย พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวคนไทย 

“หากน่านฟ้ายังไม่เปิดรอต่างชาติอย่างเดียวเป็นเรื่องยากที่จะฟื้นตัว ภาคธุรกิจท่องเที่ยวรอไม่ได้ โควิดมาเยือนเป็นโอกาสดีในการปรับโครงสร้างภูเก็ตโฟกัสในประเทศ สร้างภาพจำใหม่ จากความรู้สึกคนไทยมองภูเก็ตแพง เหมาะสำหรับตลาดบนเท่านั้น ปรับให้เป็นเดสติเนชั่นที่คนไทยเข้าถึงได้ มีห้องพักหลากหลายระดับราคา เดินทางสะดวกด้วยตั๋วเครื่องบินราคาพิเศษ ” 

 หลังจากภาครัฐมีแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยว “เราเที่ยวด้วยกัน” รัฐจ่ายให้ 40% และขยายสิทธิ์จาก 5 คืนเป็น 10 คืนต่อคน และสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน 1,000 บาท เป็น 2,000บาท พร้อมกับสื่อสารผ่านคีย์เมสเสจ “ออกไปช่วยคนไทย ออกไปเที่ยวเมืองไทย Amazing Thailand”

โดยททท.ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขสร้างความเชื่อมั่น ผ่านการมอบเครื่องหมาย “Amazing Thailand Safety and Health Administration (SHA)” ให้กับโรงแรม หรือสถานที่ท่องเที่ยวได้รับมาตรฐานปลอดภัย เดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภูเก็ต หลังจากได้รับบทเรียน จากการขับคลื่อนเศรษฐกิจที่พึ่งพาต่างชาติมากเกินไป จึงทำให้มีความ“เปราะบาง”ต่อวิกฤติ ทั้งภัยธรรมชาติ เศรษฐกิจโลก และโรคระบาด 

รองผู้ว่าททท. ยังมองว่า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทย เปราะบางพึ่งพาท่องเที่ยวถึง20%ต่อจีดีพีเป็นการเติบโตแบบ "ภาพลวงตา" เมื่อปิดน่านฟ้ากงล้อทางเศรษฐกิจหยุดหมุนทันที ทั้งเกาะหลายแทบจะเป็นเกาะร้าง ไร้กิจกรรมทางเศรษฐกิจจึงถึงเวลาที่ยึดเอาภูเก็ตเป็นต้นแบบในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ มุ่งเน้นการพึ่งพาภายใน มีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพึ่งพาหลากหลายช่องทาง ค่อยๆ ลดสัดส่วนนักท่องเที่ยว และหันไปส่งเสริมศักยภาพด้านอื่น 

สำหรับแนวคิดใหม่ของการฟื้นฟู ปรับโครงสร้างภูเก็ตจะขับเคลื่อนผ่านหมากรุก 6ตัวใหม่ที่จะชูขึ้นมา คือ GEMMSS ประกอบด้วย

Gastronomy : การแปรรูป การเกษตร ,Education : การศึกษาเพิ่มโรงเรียนนานาชาติมากขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางการศึกษา,Medical & Wellness : ศูนย์กลางการรักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพ,Marina : อุตสาหกรรมต่อเรือ ซ่อมเรือ,Sport : ท่องเที่ยวกีฬา เก็บตัวนักกีฬา และ Smart City : เมืองอัจฉริยะ พัฒนาเมืองให้เป็นศูนย์กลางการพักร้อนและทำงาน(Workation) 

 “ที่ผ่านมาเราเข้าใจว่ารายได้จากการท่องเที่ยว คือการเดินทางมาท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่ในความจริงยังมีรายได้จากการเดินทางเข้ามาหลากหลายกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ การลงทุน วิจัย การศึกษา และการพักผ่อน รักษาพยาบาล ไม่มีเวลาไหนดีเท่ากับช่วงวิกฤติในการปรับโครงสร้างท่องเที่ยวไทย” 

ไม่เพียงภาครัฐที่ระดมกันพลิกฟื้นภูเก็ตก่อนสายเกินเยียวยา หันมาพุ่งเป้ากระตุ้นคนไทยมาเที่ยวไทย ภาคเอกชนอย่าง พราว กรุ๊ป  “พสุ ลิปตพัลลภ” กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท พราว ผู้บริหารโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ภูเก็ต รีสอร์ท ปักธงภูเก็ตเปิดโรงแรมอินเตอร์คอนติเนตัลฯ ได้เดือนเศษ ย่อมได้รับผลกระทบ จึงระดมภาคธุรกิจจัดแคมเปญพลิกฟื้นภูเก็ตหลังโควิด มีการจัดงานศิลปะวาดภาพ แฟชั่นโชว์“Unseen Kamala presents Disaya Vacationist”และจัดทริปถ่ายภาพ ดึงเซเล็บ และผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด (Influencer)ที่มีผู้ติดตามกว่า30ล้านคน กระตุ้นให้คนไทยเที่ยวไทย พร้อมด้วยแคมเปญพิเศษ พร้อมลดราคาพิเศษ เพื่อให้คนไทยเข้าถึงที่พักระดับพรีเมี่ยมในราคาที่เข้าถึงได้ 

“ตราบใดที่ยังไม่เปิดน่านฟ้ากว่าภูเก็ตจะฟื้นอย่างต่ำก็ประมาณตรุษจีนปีหน้า ในช่วงเวลาที่เหลือภาคธุรกิจจะต้องร่วมด้วยช่วยกันกระตุ้นให้คนไทยหันมาเที่ยวภูเก็ต พลิกฟื้นภาคธุรกิจในภูเก็ต”