แม็คกรุ๊ปจ่อดึง ‘เทคคอมปะนี’ เสริมแกร่งซัพพลายเชนสานแผนบูมนิวเอสเคิร์ฟ
ธุรกิจแฟชั่นเวลานี้เผชิญคลื่นดิสรัป! ไม่ใช่แค่ “โควิด” แต่น่ากลัวไม่แพ้กัน คือ ดีมานด์ช็อก! องค์กรค้าปลีกสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์สัญชาติไทย “แม็คกรุ๊ป” จะนำพาธุรกิจที่บ่มเพาะความแข็งแรงมากว่า 45 ปี ก้าวข้ามวิกฤติ-ความท้าทายสู่ New S-Curve อย่างไร
ชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ภาคธุรกิจถูกดิสรัปอย่างหนักจากการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีดิจิทัล และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่สั่นสะเทือนวงการค้าทุกประเทศทั่วโลก แต่ในวิกฤติยังมีโอกาส! อุตสาหกรรมเสื้อผ้าแฟชั่นและยีนส์ มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่องเฉลี่ย 3-5% ต่อปี
ไม่ว่าโลกแฟชั่นจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ ยีนส์ Never Die! ในทุกยุคสมัย ทุกคนมีการถือครองยีนส์อย่างน้อย 4-5 ตัว และเพิ่มยีนส์ใหม่เข้ามาในความครอบครองตอบโจทย์ความต้องการ ทั้งกระชากวัยให้เราดูเด็กลง หรือ เปลี่ยนยีนส์ตามรูปร่างที่เปลี่ยนไป
การเติบโตของตลาดยังสะท้อนจาก “ผู้เล่นรายใหม่” พาเหรดเข้ามาอย่างต่อเนื่องในแคธิกอรีไทยยีนส์เดนิม ที่ “แม็ค” ปักหมุดแบรนด์ผู้นำ สามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยยอดการผลิต 1.8-2 ล้านตัวต่อปี ท่ามกลางยักษ์ใหญ่โกลบอลแบรนด์ และการล้มหายตายจากของผู้เล่นจำนวนไม่น้อยที่ทยอยหายออกจากตลาดไป
อย่างไรก็ดี ภายใต้วิกฤติโควิด แม็คกรุ๊ป มองสถานการณ์ ช็อตเทอมช็อก! โดยสิ่งที่ต้องทำในปีนี้และปีหน้า คือ ปรับแผน! เริ่มจากการถอดรหัสโควิดเอฟเฟกที่ค่อนข้างซับซ้อนส่งผลกระทบเชิงพฤติกรรม การใช้ชีวิต การใช้จ่าย ที่เปลี่ยนแปลงไป ปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างหนัก ทำให้ผู้คนระมัดระวังการใช้จ่าย ผู้คนมีการหาข้อมูลและเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจซื้อมากขึ้น
พร้อมกับย้อนกลับมามองจุดแข็งของแม็คกรุ๊ป ที่มีเครือข่ายร้านค้าปลีกกว่า 600 จุดขายเจาะตรงลูกค้า ซึ่งเป็นฐานหลักในการสร้างกระแสเงินสด สินค้าผลิตมาวางขายเก็บเงินสด! ไม่มีหนี้เสีย หนี้หลุด นอกจาก “ขายไม่ได้” จึงจะกระทบธุรกิจ ขณะเดียวกันยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพจากการคุม “ซัพพลายเชน” ตั้งแต่ต้นน้ำจรดปลายน้ำ ช่องทางจำหน่ายครอบคลุม “ออฟไลน์-ออนไลน์”
ซัพพลายเชน ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้การขับเคลื่อนธุรกิจของ “แม็คกรุ๊ป” มีความยืดหยุ่นและคล่องตัว เป็นเสมือน “กำแพงที่แข็งแกร่ง” ป้องกัน“คู่แข่ง”ที่หากจะโดดเข้ามาในสมรภูมินี้ต้องคิดหนัก! ลงทุนหนัก เพื่อมาต่อสู้กับความครบเครื่องเช่นนี้
“แวลูเชนทั้งสูงและเป็นเส้นยาวของแม็คกรุ๊ป เปรียบง่ายๆ เหมือนเราคั้นกะทิ สามารถบีบต้นทุน คั้นกำไรออกมาได้ แวลูเชน หรือซัพพลายเชน ทำให้เกิดความยืดหยุ่นสูง ในทางกลับกันเป็นจุดอ่อนของหลายธุรกิจที่ต่อให้ทำกำไร แต่บริหารจัดการซัพพลายเชนไม่ได้ต้นทุนก็บานปลาย”
ประสิทธิภาพของซัพพลายเชนยังสะท้อนผ่าน “มาร์จิ้น” ของแม็คกรุ๊ปในระดับ 12-14% โดยไตรมาส 4 (รอบบัญชี ก.ค.-มิ.ย.) ธุรกิจติดลบ 24.6% หรือปี 2563 ติดลบ 4.8% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเทียบตลาดยอดตกสูง 40-60% โดยบริษัทมีสภาพคล่องสูง ไม่มีหนี้ มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน และพร้อมลงทุนต่อยอดการเติบโตทันทีเมื่อเห็นโอกาส! เพื่อผลักดันรายได้ปี 2564 เติบโต 10-12% รักษาอัตรากำไรสุทธิ 14-16%
โรดแมพ “New S-Curve” ที่จะเป็นกลยุทธ์เคลื่อนธุรกิจปี 2564 (ก.ค.2563-มิ.ย.2564) มุ่งขยายฐานลูกค้าเป้าหมายโดยวางโฟกัส “Female-Millennials-Urban" เจาะกลุ่มลูกค้าผู้หญิง ชาวมิลเลนเนียลส์ และคนเมือง
ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าผู้หญิงของแม็คกรุ๊ป ปัจจุบันมีสัดส่วน 40-50% จะขยายประเภทสินค้าและดีไซน์ที่หลากหลาย สร้าง “Product Hero” ผ่านความร่วมมือระหว่างแบรนด์ (Brand Collaboration) ขณะที่ กลุ่มมิลเลนเนียลส์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการความทันสมัย หลงใหลนวัตกรรม และความเฉพาะตัว! จะร่วมมือระหว่างแบรนด์มากขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะแวดวง อาหาร รองเท้า ส่วนแผนเจาะกลุ่มคนเมืองจะมี Strategic Partnership ในการขยายกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่เครื่องแต่งกาย พร้อมใส่นวัตกรรมใหม่ให้สินค้ามากขึ้น
อีกเรือธงสำคัญกลุ่ม Our Repeat Business เป็นธุรกิจในพอร์ตแม็คกรุ๊ปเองถึง 50% ยกตัวอย่าง สินค้าเบสิค คลาสสิค ที่จัดเป็นรุ่นขายดี ทำเงิน! มีร่วม 60-70 โมเดล สินค้าเรือธงนี้จะถูกใส่นวัตกรรม สร้างความยูนีคที่แตกต่างจากคู่แข่งชัดเจน เช่น รองเท้าสนีคเกอร์ ผสาน “เดนิม” เกิดยูนีคของแบรนด์ ซึ่งทำตลาดมากว่า 3 ปี มียอดขาย 200 ล้านบาท กำลังถูกต่อยอด
ล่าสุด “กางเกงเล” ที่มีคาแรคเตอร์ของแม็คชัดเจนด้วยผ้ายีนส์เบา และดีไซน์สีกระดุมยีนส์ ซึ่งกางเกงเลจะเป็นหัวหอกในการทำตลาดออนไลน์ทลายข้อจำกัดเรื่องไซส์กางเกงยีนส์สำหรับการซื้อผ่านออนไลน์อีกด้วย
นี่คือการ “คิด” แล้ว “คลิก” แล้ว “แจ้งเกิด” สู่การ “ต่อยอด” ที่จะใช้เป็นอีกแนวทางเคลื่อนธุรกิจแม็คกรุ๊ป ไปพร้อมๆ กับการสร้างประสบการณ์ชอปปิงรูปแบบใหม่ในโลกออฟไลน์ที่จะดึงดูดลูกค้าด้วยการปรับโฉมร้านภายใต้คอนเซปต์ใหม่ ประเดิมกว่า 20 จุดขายภายในสิ้นเดือน ธ.ค.นี้
นอกจากนี้ให้ความสำคัญกับการเชื่อมต่อออฟไลน์-ออนไลน์ (Seamless O2O) มุ่งการขายแบบไร้รอยต่อ (Omni-Channel) ผลักดันศักยภาพพนักงานขาย“ออฟไลน์”ให้ขาย“ออนไลน์”อย่างเต็มประสิทธิภาพและแข็งแรงยิ่งขึ้น ที่ผ่านมา ยอดขายออนไลน์เติบโตก้าวกระโดดกว่า 61% ตั้งเป้ายอดขายออนไลน์จากสัดส่วน 15% เพิ่มเป็น 20-25% หรือมียอดขายไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทใน 2 ปีข้างหน้า
ระหว่างเตรียมเทกออฟในปี 2564 แม็คกรุ๊ปยังมีแผนซื้อและควบรวมกิจการ (M&A) “เทคคอมปะนี” เสริมความแข็งแรงระบบเทคโนโลยี ดิจิทัล อีคอมเมิร์ซ ซึ่งจะเป็นธุรกิจแห่งอนาคต การลงทุนใน “แวร์เฮ้าส์ ออโตเมชั่น” ใหม่ มูลค่าราว 300 ล้านบาท บนพื้นที่ 7 ไร่
เป็นการเสริมใยเหล็กให้ ซัพพลายเชน และ New S-Curve แข็งแกร่งยิ่งขึ้นพร้อมรับมือทุกสภาวะการณ์!