เจเคเอ็น เบ่งอาณาจักรโต ตุนคอนเทนท์ขายทั่วโลก
เป็นอีกธุรกิจที่มี “โอกาส” ท่ามกลางวิกฤติ สำหรับการซื้อขายคอนเทนท์ แม้ในตลาดโลกผู้ซื้อและผู้ขายจะไม่สามารถเดินทางไปพบปะกันในงานเทศกาลสำคัญๆ เพราะพิษสงโรคโควิด-19 แต่การเจรจาทางการค้ายังเกิดขึ้นได้ผ่านโลกออนไลน์
ขณะที่โควิดทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องอยู่บ้าน งดการออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ทำให้การดูรายการต่างๆ ทั้งละครไทย ซีรี่ส์ต่างประเทศ ผ่านแพลตฟอร์มทีวีดิจิทัล ออนไลน์(OTT)เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ที่สำคัญการผลิตละคร รายการใหม่ๆที่ผ่านมา ทำได้ยากลำบาก เพราะการป้องกันแพร่ระบาดของโรคทำให้ห้ามออกกองถ่ายละคร เป็นต้น ปัจจัยดังกล่าวเอื้อต่อผู้ประกอบการขายคอนเทนท์ มุมมองของ จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือเจเคเอ็น
เมื่อโอกาสธุรกิจมาเยือน และโควิดทำให้งดจัดงานใหญ่อย่างเมกะโชว์เคส แต่วันที่ 3 พ.ย.จะมีงาน “JKN Spectacular Investment for Life” เพื่อโชว์ศักยภาพบริษัทที่มุ่งสร้างเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเห็นการป้อนคอนเทนท์เสิร์ฟทีวีดิจิทัลกว่า 10 ช่อง เช่น ซีรี่ส์จีน ป้อนช่อง MCOT รายการวาไรตี้โชว์ฟอร์แมทจากต่างประเทศป้อนช่อง 3 รวมถึงซีรี่ส์จากฮอลลีวูดด้วย ไม่เท่านั้น ยังป้อนทั้งทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี และเสิร์ฟรายการป้อนออนไลน์ เหล่านี้ถือเป็นการบุกตลาดในประเทศ
ส่วนต่างประเทศปีนี้เห็นการขายคอนเทนท์ป้อนตลาดใหม่เพิ่ม เช่น นำลิขสิทธิ์คอนเทนต์อินเดียและฟิลิปปินส์ ลุยตลาดมาเลเซียและกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม(CLMV)เพิ่ม ทยอยส่งมอบคอนเทนต์ซีรีส์ละครไทยจากช่อง 3 ให้แก่ TV5 หนึ่งในผู้จัดรายการฟรีทีวีช่องหลักของประเทศฟิลิปปินส์ และซีรี่ส์อินเดียเจาะกลุ่มประเทศแถบลาตินอเมริกา บรูไน ไต้หวัน ศรีลังกา บังคลาเทศ แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และภูฏาณ สานเป้าหมาย 3 ปีข้างหน้า มีรายได้ต่างประเทศ 50% จากปัจจุบัน 30%
“โควิดทำให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลทั้งในและต่างประเทศ ชะลอการผลิตคอนเทนต์ จึงหันมาซื้อลิขสิทธิ์สำเร็จรูปเพื่อนำไปออกอากาศแทนการผลิตรายการเอง จึงเป็นโอกาสทองของเจเคเอ็นในการทำตลาดเพื่อจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ทั้งในและต่างประเทศ ช่วยสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด”
อีกไฮไลท์ปีนี้ จะเห็นการปลุกปั้นบริษัทลูก เจเคเอ็น ไลฟ์ ซึ่งจะมีการซื้อกิจการ และร่วมทุนกับบริษัทต่างๆ เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยที่ผ่านมา “จักรพงษ์” เป็นหนึ่งในผู้ร่วมรายการชาร์คแทงก์ไทยแลนด์ จึงได้เข้าลงทุนใน 8 บริษัท เช่น ธุรกิจกาแฟ จึงสามารถนำมาต่อยอดได้ เพราะเป้าหมายต้องการผลักดันให้บริษัทแม่อย่างเจเคเอ็น มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)แตะหมื่นล้านบาท จากปัจจุบันมูลค่าราว 6,000 ล้านบาท (ณ 5 ต.ค.63)
ด้าน ธีรภัทร์ เพ็ชรโปรี รองกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบัญชี บจม.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย กล่าวว่า บริษัทใช้เงินลงทุนราว 1,500-1,800 ล้านบาท เพื่อซื้อคอนเทนท์ใหม่ๆมาเสริมทัพ ซึ่งโรคโควิด-19 ทำให้ซื้อรายการได้ในราคาเหมาะสม และขยายระยะเวลาลิขสิทธิ์เพิ่มเป็น 5-7 ปี จากเดิมรายการใหม่ๆจะมีเวลา 3 ปี การตุนคอนเทนท์ไว้มาก ทำให้ปีหน้าอาจซื้อรายการน้อยลง และใช้งบลงทุนปกติ 1,000 ล้านบาท
สำหรับสิ่งที่ต้องระมัดระวังช่วงโควิดคือบริหารจัดการลูกหนี้ให้มีประสิทธิภาพ ติดตามการเร่งชำระเงินค่าคอนเทนท์ และการรักษาสภาพคล่องของบริษัทให้ดี ซึ่งการเก็บหนี้ได้จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งด้านการเงิน
“การซื้อขายคอนเทนท์เกิดขึ้นกับลูกค้าที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว โควิดอาจทำให้จ่ายเงินล่าช้าไปบ้าง แต่เราทำงานหนักขึ้นเพื่อลดจำนวนลูกหนี้ค้างชำระให้กลับมาชำระเงินเร็วขึ้น”
จากแผนธุรกิจดังกล่าว จะส่งผลดีต่อยอดขายและกำไรเติบโต โดยสิ้นปีคาดทำกำไรขั้นต้นได้ 45% ส่วนครึ่งปีแรกมีรายได้ 917ล้านบาท กำไรสุทธิ 180 ล้านบาท เติบโตเกือบ 20%