อ.ส.ค. ปรับแผนตั้งเป้าปี 2564 ทำรายได้ 1.2 หมื่นล้าน
อ.ส.ค. ปรับแผน รับตลาด e-commerce – platform เล็งเจาะฐาน 5 เมืองใหญ่ของจีนและเวียดนาม วางเป้าทำรายได้แตะ 1.2 หมื่นล้าน ดันนมวัวแดง สู่แบรนด์อันดับที่ 1ในใจผู้บริโภคชาวไทยภายในปี 2564
นายอาทิตย์ เพ็ชรรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อ.ส.ค.) เปิดเผยว่า ภายใต้การแข่งขันในอุตสาหกรรมนมที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ประกอบกับเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ในปี 2563 ส่งผลให้ธุรกิจ E-commerce ในประเทศ เติบโตอย่างก้าวกระโดดและพฤติกรรมของคนไทยมีสัดส่วนการซื้อสินค้ารูปแบบ shopping online มากขึ้น จากสถานการณ์ดังกล่าว อ.ส.ค. ได้เร่งปรับแผนส่งเสริมการขายและการตลาดให้มีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค เศรษฐกิจและสถานการณ์การแข่งขันมากขึ้น เพื่อรักษาส่วนแบ่งในตลาดและขยายอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คทั้งในและต่างประเทศในอนาคต
ทั้งนี้ในปี 64 อ.ส.ค.ได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ(Work shop) เพื่อการจัดทำแผนการตลาด การแก้ไขกลยุทธ์ทางการตลาด ให้กับผู้บริหาร พนักงานฝ่ายการตลาด การขาย และสำนักงานภาคทั้ง 5 ภาค ในการนำไปขับเคลื่อนองค์กรและผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คให้มียอดจำหน่ายเติบโตอย่างมั่นคง ครองสัดส่วนในตลาดในประเทศแบบยั่งยืน และสามารถทำรายได้ให้เป็นไปตามแผนรัฐวิสาหกิจระยะ 5 ปีซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2564 ที่กำหนดต้องทำยอดขายให้ได้ 12,000 ล้านบาท
โดยในปัจจุบัน อ.ส.ค. เป็นผู้นำกลุ่มเจเนอรัล มิลค์ โดยครองสัดส่วนทางการตลาดอยู่ประมาณ 49% ดังนั้น อ.ส.ค. จึงต้องเร่งปรับแผนกลยุทธ์เพื่อขยายตลาด และเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ ศึกษาและวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกสู่ตลาด เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาสนใจและบริโภคนมกันมากขึ้น
นอกจากนี้อ.ส.ค.ยังเร่งทำพอร์ตขยายช่องทางธุรกิจในต่างประเทศเพิ่มเติมในตลาดเป้าหมายสำคัญคือ ประเทศจีนและ ประเทศเวียดนาม เพื่อเพิ่มยอดการส่งออกผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค โดยเฉพาะจีนและเวียดนาม ถือเป็นประเทศที่น่าสนใจของนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากเป็นประเทศที่กำลังซื้อสูงและมีสัดส่วนประชากรเยอะ
“สำหรับตลาดในจีนที่เราเล็งไว้คือจะเน้นเข้าไปเจาะตลาดคุณหมิงเป็นเมืองแรก โดยวางเป้าหมายส่งผลิตภัณฑ์เข้าไปชิมลางในไตรมาสแรกของปี 64 นี้ก่อนจะขยายฐานตลาดไปอีก 5เมืองใหญ่ คือ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กวางโจว เซินเจิ้นและเฉิงตู โดยวางเป้าหมายยอดจำหน่ายตลาดต่างประเทศไว้ที่ 1,000 ล้านบาท รวมทั้งมีแผนที่จะเข้าไปทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียนควบคู่กัน”
นายวิทวัส ชัยปาณี ประธานคณะอนุกรรมการ CG/CSR อ.ส.ค. กล่าวว่า อ.ส.ค.จะต้องเร่งปรับกลยุทธ์ทางการตลาดและแผนการตลาดผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ เพื่อประสิทธิภาพด้านการแข่งขันและปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงยิ่งขึ้น โดยปรับลด กิจกรรมทางการตลาดรูปแบบที่ไม่ส่งผลต่อการเติบโตของยอดขายหรือส่งผลบวกต่อแบรนด์ให้น้อยลง แล้วเห็นไปหันไปเน้นส่งเสริมกิจกรรมทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพที่สามารถกระตุ้นยอดขายและรายได้ให้ได้ตามเป้าหมายให้มากขึ้น อาทิ รูปแบบ e-commerce และ platform ทางการตลาดสมัยใหม่
โดยในไตรมาส 4 ของปี 63 อ.ส.ค.จะปรับลาดผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คในรูปแบบทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เติบโตอย่างมั่นคงใน 3 สเต็ปด้วยกันคือ สเต็ปที่1 สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยได้วางเป้าหมายภายในปี 2564 อ.ส.ค.จะต้องก้าวสู่นมแห่งชาติ (Being ‘National Milk by 2021) ส่วนสเต็ปที่ 2 จะเน้นกลยุทธ์สร้างแรงจูงใจลูกค้า (Motivation) ให้เข้ามาเป็นลูกค้าและหันมาซื้อผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คมากขึ้น และสเต๊ปที่ 3 คือการเร่งขับเคลื่อนแบรนด์ไทย - เดนมาร์คก้าวสู่แบรนด์อันดับที่ 1 ในใจผู้บริโภคชาวไทย (Top of Mind) แต่ต้องทำอย่างไรก็ได้นอกจากผู้บริโภครู้จักและรักแบรนด์แล้ว ต้องงัดกลยุทธ์ทางการตลาดที่กระตุ้นและดึงกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวให้หันมาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share)ผลิตภัณฑ์นมให้มากขึ้นไม่ใช่แค่รู้จักและยอดขายไม่กระเตื้องขึ้นหรือยอดขายเท่าเดิม
นายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการทำการแทนผู้อำนวยการ อ.ส.ค. กล่าวว่า ด้านแผนการส่งออกตลาดสู่สาธารณรัฐประชาชนจีนและ ประเทศเวียดนาม มีแผนเจาะตลาดในปี 2564 นั้นเนื่องจากปีงบประมาณ2563ที่ผ่านติดปัญหาโรคโควิด-19ระบาด นอกจากนี้ อ.ส.ค.ยังได้จับมือกับพันธมิตรทางด้านอุตสาหกรรมกีฬาทั้งทางบกและทางน้ำเพื่อประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ๆโดยผ่านการส่งเสริมและสนับสนุนด้านกีฬาให้แก่เยาวชน เช่น สโมสร บีจี ปทุม ยูไนเต็ด สมาคมเจ็ตสกีแห่งประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งถือเป็นกีฬาที่เป็นยอดนิยมของคนไทยอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ ภายใต้กลยุทธ์ที่หลากหลายเชื่อมั่นว่าจะทำให้ยอดจำหน่ายในปี 2564 นี้เติบโตทะลุ12,000 ล้านอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ อ.ส.ค.ยังได้สนองนโยบายสำคัญของนางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งรับผิดชอบกำกับดูแล อ.ส.ค. มีมาตรการให้ อ.ส.ค.เร่งรณรงค์ให้คนไทยเห็นความสำคัญของการดื่มนมโคสดแท้ 100% ไม่ผสมนมผง จากน้ำนมโคที่ได้จากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมประเทศไทย ตลอดจนสืบสาน รักษา ต่อยอดอาชีพการเลี้ยงโคนม ซึ่งเป็นอาชีพทรงคุณค่าที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่9) ทรงพระราชทานไว้ให้แก่เกษตรกรไทย ได้มีอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืน โดยให้ความสำคัญในการการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำจนถึงมือผู้บริโภคต้องได้คุณภาพและมาตรฐาน รวมทั้งสร้างการรับรู้ให้ประชาชนจดจำว่านมวัวแดง นมไทย-เดนมาร์ค นมทุกหยดผลิตจากเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม