สแตนชาร์ดฯ หั่นจีดีพีไทย -8% จาก-5% เร่งรัฐกระตุ้นศก. แนะเกาะติดชุมนุมการเมืองใกล้ชิด
สแตนชาร์ดฯหั่นเศรษฐกิจไทยติดลบ8% จากติดลบ5%หวังปัจจัยเสี่ยงรุมเร้าเพียบ ประเมินนักจำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาสู่ระดับ40ล้านคนอาจต้องใช้เวลา3-5ปี แนะจับตานนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐหลังได้รมว.คลังใหม่ พร้อมเกาะติดการเมืองใกล้ชิด
นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) กล่าวว่า ล่าสุดสแตนดาร์ดฯมีการปรับประมาณการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจ เป็นติดลบ8% จากประมาณการเดิมที่ให้ไว้ติดลบ5% เนื่องจากความไม่แน่นอนมีมากขึ้น
ขณะที่ปีหน้า คาดเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวกลับมาเติบโตที่2% โดยเศรษฐกิจปัจจุบันได้ผ่านจุดต่ำสุด เมื่อไตรมาส2 ปี2563ไปแล้ว ขณะที่ตัวเลขการส่งออกของประเทศไทยและประเทศเกิดใหม่ ในภูมิภาคเอเชีย เริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น แต่กลไกขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย คือ การท่องเที่ยว ยังไม่ฟื้น
ดังนั้น ถึงแม้ว่าการส่งออกจะดีขึ้น แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมจะยังไม่มั่นคง ถ้าการท่องเที่ยวยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้
สำหรับภาคการท่องเที่ยว ประเมินว่ากว่าที่จะเห็นนักท่องเที่ยวกลับมาสู่ระดับ 40ล้านคนเหมือนในอดีต อาจต้องใช้เวลา3-5ปี ถึงจะเห็นระดับนักท่องเที่ยวใกล้กับก่อนโควิด-19
สิ่งที่ต้องจับตา คือ ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งว่าจะสามารถสร้างความมั่นใจให้กับตลาดการเงินได้มากน้อยเพียงใด หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งใช้เวลากว่าสามเดือนกว่าจะได้ทีมใหม่
รวมถึงความเคลื่อนไหวทางการเมือง ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร บนพื้นฐานว่าเศรษฐกิจไทยยังติดลบอยู่ ซึ่งหากยื้ดเยื้อ หรือรุนแรงอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้
ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอน รวมถึงการติดตามการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจและรอนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทีมใหม่ ประเมินว่าค่าเงินบาทน่าจะอยู่ในทิศทางแข็งค่าต่อในสิ้นปีนี้ที่ 31.00บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
โดยภาพรวมที่ยังอยู่ในลักษณะ “ติดตามสถานการณ์” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคลัง การเบิกจ่าย สถานการณ์การเมือง การเริ่มเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว การคิดค้นวัคซีนต้านโควิด เพราะฉะนั้น ยังอาจไม่มีปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดความมั่นใจได้อย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนการดำเนินนโยบายการเงิน เชื่อว่า ธปท.อยู่ระหว่างการติดตามสถานการณ์เช่นเดียวกัน ถ้าสถานการณ์ยังทรงตัวและเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น ธปท.น่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% แต่ถ้าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงในช่วงในไตรมาสนี้ โอกาสที่ ธปท. จะลดดอกเบี้ยไปที่ 0.25% ก่อนสิ้นปีได้
ปัจจัยที่นักลงทุนจับตา เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินของธปท.ระยะถัดไป คือมีโอกาสหรือไม่ที่จะเห็นธปท.ปรับลดดอกเบี้ย รวมถึงการเลือกดำเนินนโยบายการเงินเหมือนต่างประเทศหรือไม่ เช่นการนำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือ QE รวมถึงการออกมาตรการ yield curve control และนโยบายช่วยเหลือ SMEs เพิ่ม ซึ่งเป็นปัจจัยที่นักลงทุนอยากเห็นความชัดเจนและสนใจ