เด็กกทม.เจอปัญหาภาวะโภชนาการมากที่สุด
ผลสำรวจระดับชาติล่าสุด พบเด็กไทยถูกอบรมโดยใช้ความรุนแรง58% ลงโทษทางกาย44%
ใช้ความรุนแรงทางจิตใจ 40% มีภาวะเตี้ยแคระแกร็น-ผอมแห้ง-น้ำหนักเกินสูงขึ้น กทม.เผชิญปัญหาภาวะโภชนาการมากสุด
ส่วนการไม่เรียนต่อระดับมัธยมเพิ่มขึ้น เด็กป.2 และ 3 ราว 50% มีทักษะการอ่าน-การคำนวณขั้นพื้นฐาน
ขณะที่ทารกกินนมแม่เพียงอย่างเดียวลดลง เช่นเดียวกับอัตราการมีบุตรของวัยรุ่นลดลง
ในการสัมมนาผลการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย พ.ศ.2562 ( Multiple Indicators Cluster Suurvey:MICS) ดำเนินการโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ(สสช.)ร่วมกับองค์การยูนิเซฟ ซึ่งจัดทำขึ้นทุก 3 ปี นับเป็นครั้งที่ 4 ในประเทศไทย มีการจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับเด็กและสตรีในด้านต่าง ๆ เช่น สุขภาพ พัฒนาการ การศึกษา และการคุ้มครองเด็ก โดยการสำรวจนี้ทำใน 40,660 ครัวเรือนทั่วประเทศ ระหว่างเดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายน 2562 และถือเป็นการสำรวจระดับประเทศที่ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างประชากรเด็กและสตรีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
นายจิรวัส พูลทรัพย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวางแผนและพัฒนาสถิติด้านสังคม สสช. กล่าวว่า ผลสำรวจพบว่า อัตราการมีบุตรของวัยรุ่นในประเทศไทยลดลงอย่างมาก จาก 51 คนต่อ 1,000 คนในปี 2558 เหลือเพียง 23 คนต่อ 1,000 คนในปี 2562 ขณะที่อัตราของเด็กอายุ 1-14 ปีที่เคยถูกลงโทษด้วยวิธีรุนแรงที่บ้านก็ลดลงเช่นกัน จาก 75% ใน 2558 เหลือ 58% ในปี 2562 นอกจากนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าด้านอื่น ๆ เช่น อัตราการได้รับภูมิคุ้มกันครบถ้วนของเด็กอายุ 12-23 เดือน อยู่ที่ 82 % การบริโภคเกลือเสริมไอโอดีน อยู่ที่ 85% และอัตราการเข้าเรียนหลักสูตรปฐมวัย อยู่ที่ 86%
ด้านภาวะโภชนาการของเด็กในประเทศไทย โดยพบว่า อัตราของเด็กที่เตี้ยแคระแกร็น ผอมแห้ง และมีน้ำหนักเกิน มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยพบว่า เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีในประเทศไทย 13% มีภาวะเตี้ยแคระแกร็น ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ในขณะเดียวกัน 8 %มีภาวะผอมแห้ง และ 9 %มีน้ำหนักเกิน เพิ่มจากปี 2558 ที่ภาวะเตี้ยแคระแกร็น 11% ผอมแห้ง 5% และน้ำหนักเกิน 8 % ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาสมองของเด็ก สุขภาพและความเป็นอยู่ของเด็กในระยะยาว
การกินนมแม่อย่างเดียว มีทารกอายุไม่เกิน 6 เดือนเพียง14% เท่านั้นที่ได้กินนมแม่เพียงอย่างเดียว ซึ่งลดลงจากปี 2558 ที่23% แม้นมแม่จะเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกซึ่งช่วยส่งเสริมการพัฒนาสมองและป้องกันทารกจากการเจ็บป่วย
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำที่น่ากังวล โดยความแตกต่างขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่เด็กอาศัยอยู่ ฐานะทางเศรษฐกิจของครัวเรือน ระดับการศึกษาของแม่ และชาติพันธุ์ ตัวอย่างเช่น เด็กที่แม่ขาดการศึกษา เด็กที่อาศัยในครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนไม่ได้พูดภาษาไทย และเด็กที่อาศัยในครัวเรือนยากจนมาก มักขาดสารอาหารมากกว่าเด็กกลุ่มอื่น ๆ โดยอัตราของเด็กเตี้ยแคระแกร็นคิดเป็น 19, 18 และ 16 %ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ 13%มีข้อสังเกตว่า กรุงเทพมหานครมีเด็กที่มีภาวะเตี้ยแคระแกร็นและน้ำหนักเกินอยู่ที่ 17% ทั้ง2ส่วนซึ่งมากกว่าภาคอื่น จะต้องมีการวิเคราะห์เชิงลึกต่อไปถึงสาเหตุ
ผลสำรวจยังสะท้อนความไม่เท่าเทียมด้านการศึกษา ในขณะที่เด็กเกือบทุกคนในประเทศไทยเข้าเรียนและจบชั้นประถมศึกษา แต่อัตราการเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลายลดลงอย่างชัดเจนในกลุ่มครัวเรือนยากจนมาก เพียง 82% และ 53 %ตามลำดับ และภาคใต้มีอัตราการเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 77%และมัธยมศึกษาตอนปลาย56% ซึ่งต่ำกว่าภาคอื่น
น.ส.ภัสธารีย์ ปานมี นักวิชาการสถิติชำนาญการ สสช. กล่าวว่า ผลสำรวจในเรื่องทักษะขั้นพื้นฐานด้านการอ่านและการคำนวณ มีเด็กที่กำลังเรียนอยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และ 3 ไม่ถึง 6 ใน 10 คน หรือ 57% ที่มีทักษะการอ่านขั้นพื้นฐาน ในขณะที่มีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น หรือ 51%ที่มีทักษะการคำนวณขั้นพื้นฐาน
เด็กที่ไม่ได้เข้าเรียนนั้น ทั่วประเทศมีเด็กวัยมัธยมศึกษาตอนปลายที่ไม่ได้เข้าเรียนถึง18% อัตรานี้เพิ่มขึ้นในกลุ่มครัวเรือนยากจนมากเป็น 32% เด็กในครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนไม่ได้พูดภาษาไทย 31%และเด็กที่แม่ขาดการศึกษา29% นอกจากนี้ พบว่า เด็กชายมักไม่ได้เข้าเรียนมากกว่าเด็กหญิง
ผลสำรวจเรื่องการอบรมโดยวิธีการต่างๆ โดยแม่/ผู้ดูแลเด็กที่เชื่อว่าจำเป็นต้องมีการลงโทษทางร่างกายเด็ก 53% ส่วนเด็กอายุ1-14ปีที่ได้รับการอบรมโดยวิธีการใดๆในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา พบว่า การอบรมไม่ใช่ความรุนแรง 36% ลงโทษทางร่างกาย เช่น ตี 44% เป็นการลงโทษอย่างรุนแรง 2% ใช้ความรุนแรงทางจิตใจ เช่น ด่า ว่า 40% และใช้ความรุนแรงอย่างใดอย่างหนึ่ง 58%
อีกทั้ง ผลสำรวจด้านอื่น ๆ ที่สำคัญ อาทิ การมีหนังสือสำหรับเด็ก โดยเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ในประเทศไทยเพียง 34% ที่มีหนังสือสำหรับเด็กอย่างน้อย3เล่มที่บ้าน ลดลงจาก 41% ในปี 2558 อัตรานี้ลดลงอีกในครัวเรือนที่ยากจนมาก 14%เทียบกับเด็กในครัวเรือนที่ร่ำรวยมาก 65%
การมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นของเล่นในเด็กเล็ก เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี 53% เล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเด็กจำนวนครึ่งหนึ่งเล่นอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง และ 8% เล่นอย่างน้อยวันละ 3 ชั่วโมง
การมีส่วนร่วมของพ่อแม่ พ่อแม่ในครัวเรือนร่ำรวยมีแนวโน้มทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้กับลูกมากกว่าครัวเรือนยากจน แต่พ่อมักทำกิจกรรมกับลูกน้อยกว่าแม่ ทั่วประเทศมีพ่อเพียงร้อยละ 34 เท่านั้นที่ทำกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้กับลูก โดยสัดส่วนพ่อที่ทำกิจกรรมร่วมกับลูกยิ่งน้อยลงในครัวเรือนที่ยากจนมาก 20%เมื่อเทียบกับพ่อในครัวเรือนที่ร่ำรวยมาก 55%
เด็กที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เด็กอายุต่ำกว่า 17 ปี 24% ไม่ได้อยู่กับพ่อและแม่ เนื่องจากพ่อแม่มักย้ายถิ่นเพื่อหางานทำ อัตรานี้สูงสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 36% และกลุ่มเด็กในครัวเรือนที่ยากจนมาก 39%
ด้านน.ส.อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า การพัฒนายั่งยืนต้องให้ความสำคัญประเด็นด้านเด็กและสตรี สสช.จึงดำเนินการสำรวจสถานการณ์เพื่อติดตามความก้าวหน้าของประเทศไทย เพราะการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆจะไม่สามารถทำได้ถ้าไม่มีข้อมูลคุณภาพที่มีความครบถ้วน ถูกต้อง และทันสมัย ข้อมูลนี้จึงมีประโยชน์มากต่อทุกภาคส่วนในการนำไปใช้ประโยชน์ในการทำงานต่อไป
น.ส.วันเพ็ญ พูลวงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กล่าวว่า ผลสำรวจเหล่านี้เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการกำหนดนโยบายเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่กระทบความเป็นอยู่ของเด็ก และหวังว่าผู้กำหนดนโยบาย หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการ สื่อมวลชนจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งการเผยแพร่ อภิปราย วิเคราะห์และวางแผนนโยบายเพื่อความอยู่ดีมีสุขของเด็กทุกคนในประเทศไทย
นายโธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า ความเป็นอยู่ของเด็กและสตรีในประเทศไทยได้รับการพัฒนาอย่างมากในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา โดยการดำเนินงานของรัฐบาลและองค์กรภาคสังคมได้ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กหลายล้านคนในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจครั้งนี้ก็ตอกย้ำปัญหาหลายด้านที่ยังคงคุกคามพัฒนาการของเด็กในประเทศไทยมาโดยตลอดหลายปี เช่น ภาวะโภชนาการของเด็ก การไม่เรียนต่อระดับชั้นมัธยม หรือ จำนวนเด็กที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ ปัญหาเหล่านี้ยิ่งถูกซ้ำเติมอีกจากผลกระทบของวิกฤตโควิด-19 และหากไม่ได้รับการแก้ไข จะคุกคามศักยภาพของเด็ก ๆ ซึ่งเป็นทรัพยกรที่สำคัญของประเทศไทย ทั้งหมดนี้กระตุ้นให้เราทุกคนต้องทำงานมากขึ้นและทำให้เร็วกว่าเดิม โดยวิกฤตโควิด-19 อาจเป็นโอกาสให้เราจัดลำดับความสำคัญและลงทุนกับการพัฒนาเด็กมากขึ้น ข้อมูลจากผลสำรวจครั้งนี้เป็นสิ่งที่ผู้กำหนดนโยบายต้องให้ความสนใจเพิ่มขึ้น เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของเด็กทุกคนในประเทศไทยอย่างยั่งยืน