“ไทยภักดี” จี้หยุดวาทกรรมบิดเบือน ชี้สลายชุมนุม 16ต.ค. ตามหลักสากล
“ไทยภักดี” จี้หยุดวาทกรรมบิดเบือน-ชี้สลายชุมนุม 16ต.ค. ตามหลักสากล ระบุ “คณะราษฎร63” บูลี่-คุกคาม สร้างความเกลียดชังต่อ บุคคล-สถาบัน
เฟซบุ๊คกลุ่มไทยภักดี ออกแถลงการณ์กลุ่มไทยภักดีเรื่อง หยุดสร้างวาทกรรมบิดเบือนเรื่องความรุนแรงปกป้องผู้กระทำผิดกฎหมายและยุติการสร้างความเข้าใจผิดเรื่องการใช้ความรุนแรง
ตามที่มีกลุ่มอาจารย์มหาวิทยาลัย นักวิชาการ แพทย์ และผู้มีชื่อเสียงในสังคมจำนวนหนึ่ง รวมถึง พรรคการเมือง อย่างพรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์ต่างกรรมต่างวาระ ว่าการสลายการชุมนุมของกลุ่มผู้ประท้วงคณะราษฎรที่สี่แยกปทุมวันเมื่อวันที่ 16 ต.ค.2563 นั้นเป็นการใช้ความรุนแรง และเรียกร้องให้หยุดใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ประท้วงคณะราษฎรที่เป็นเยาวชน นักเรียน นักศึกษา
แถลงการณ์เหล่านี้ล้วนบิดเบือนข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ กล่าวคือการสลายการชุมนุมในครั้งนี้เป็นไปตามหลักปฎิบัติสากล เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการที่มุ่งหวังให้เกิดความรุนแรงและความเสียหายให้น้อยที่สุด
ดังจะเห็นได้ว่าเป็นปฏิบัตการที่แตกต่างจากการสลายการชุมนุมของกลุ่ม พธม.ที่หน้าทำเนียบในวันที่ 7 ต.ค. 2551 หรือการสลายการชุมนุม "ม็อบเสธอ้าย" ในวันที่ 24 พ.ย.2555 หรือ การสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปก.ที่หน้าบ้านสี่เสาร์ฯ
โดยในวันที่ 22 ก.ค.2550 ที่มีการใช้กำลัง แก๊สน้ำตา และอาวุธ เข้าจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างรุนแรง จนมีการบาดเจ็บ บาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตของผู้ชุมนุม ซึ่งแถลงการณ์ดังกล่าวมิได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ที่ระบุว่าผู้ชุมนุมชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ นั้นไม่ใช่ความจริงเพราะปรากฎภาพ คลิป ผู้ชุมนุมได้ตอบโต้เจ้าหน้าที่อย่างรุนแรงรวมถึงมีการใช้เครื่องมือที่สามารถเป็นอาวุธได้ตอบโต้เจ้าหน้าที่
ที่สำคัญไปกว่านั้นการใช้ความรุนแรงนั้นมิใช้เพียงการใช้ความรุนแรงต่อร่างกาย ทรัพย์สิน สิ่งของ เพียงอย่างเดียว หากต้องรวมถึงการใช้ความรุนแรงต่อสภาพจิตใจของผู้ถูกกระทำ การสร้างความเกลียดชัง การใช้ถ้อยคำหยาบคาย การข่มขู่คุกคามด้วย ซึ่งปรากฏเป็นข้อเท็จจริงว่ากลุ่มผู้ชุมนุมปลดแอก หรือ คณะราษฎร 63 ได้กระทำมาโดยตลอด
ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นในการชุมนุม หรือโลกออนไลน์ เช่น การคุกคาม หรือ บูลลี่ คนดัง องค์กร ห้างร้าน ที่เห็นต่างจากตน การคุกคามสร้างความเกลียดชังต่อตัวบุคคลอย่างนายกรัฐมนตรี หรือการาร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งได้ดำเนินการมาเป็นลำดับ ต่อเนื่อง
“ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ การเข้าไปขัดขวางขบวนเสด็จฯ ของพระราชินีและพระองค์ที โดยการตะโกนถ้อยคำที่หยาบคายอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอีกเช่นกันว่า ได้มีคลิป ภาพ เสียงของกลุ่มผู้กระทำปรากฎออกมาและได้มีการดำเนินคดีกับผู้กระทำดังกล่าวในข้อหาร้ายแรง”
แต่ในแถลงการณ์เหล่านั้น เห็นว่าการสลายการขุมนุมโดยการฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุมเป็นความรุนแรง แต่กลับไม่ตระหนักถึงความรุนแรงจากการเข้ารุมล้อม ข่มขู่ คุกคามรถพระที่นั่งทั้งๆที่พระราชินีและพระองค์ที ที่ถูกคุกคามนั้นเป็นเพียงสตรีและเยาวชน เท่านั้น
โดยหาได้คิดโดยสำมัญสำนึกหรือไม่ว่า แท้จริงแล้วความรุนแรงโดยการสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในใจของคนนั้นคือ ความรุนแรงที่เลวร้ายที่สุด เพราะจะเป็นมูลเหตุ เป็นต้นตอที่จะนำไปสู่ความรุนแรงอื่น ด้วยคำพูด หรือ ด้วยการกระทำประทุษร้ายต่อกัน
จึงขอเรียกร้องให้ กลุ่มอาจารย์มหาวิทยาลัย นักวิชาการ แพทย์ ผู้มีชื่อเสียง และนักการเมือง ยุติการสร้างความเข้าใจผิดต่อสังคมให้เห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองเฉพาะที่ตนเองสนับสนุนเพียงด้านเดียว
“แต่มองไม่เห็นความรุนแรงที่ผู้ชุมนุมกระทำต่อขบวนเสด็จ และมุ่งประทุษร้ายต่อขบวนเสด็จ เพื่อให้สังคมได้ตระหนักรับรู้ต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจริง และไม่นำไปสู่การปกป้องผู้กระทำผิดกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดโดยอ้างวาทกรรมบิดเบือนเรื่องการถูกคุกคาม หรือการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน”
ทั้งนี้ขอให้สนับสนุนการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้กระทำผิดไม่ว่าจะมีวัยวุฒิแค่ไหนตามขั้นตอนหลักปฏิบัติสากล เพื่อทำให้บ้านเมืองคงไว้ซึ่งหลักนิติรัฐ นิติธรรม มิใช่ ความเป็นอนาธิปไตยที่ใครจะนึกจะทำอะไรก็ทำโดยคิดว่าตัวเองจะไร้ความผิดเพราะจะมีคนออกมาปกป้องโดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงได้อีกในอนาคต