มาแล้ว..ยักษ์ใหญ่ออกศึก!! “สิงห์” ลงสนามน้ำดื่มผสมวิตามิน ดันแบรนด์ “เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์” เขย่าตลาด
เมื่อตลาด “น้ำดื่มผสมวิตามิน” มาแรง 8 เดือน โตถึง 75% จากกระแสผู้บริโภครักสุขภาพ ขนาดตลาดยังเล็ก จึงเป็น "โอกาส" ที่ทุกแบรนด์จะช่วยกันทำให้ "ขุมทรัพย์" ขยายใหญ่ขึ้น และไม่พลาดที่ "สิงห์" จะโดดสู่สังเวียนอีกราย ส่ง “เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์” ชิงแชร์
ยังคงตบเท้าเข้ามาไม่หยุดหย่อน สำหรับตลาด “น้ำดื่มผสมวิตามิน" เพื่อแบ่งเค้กมูลค่า “พันล้านบาท” ต้นๆ แต่กำลังก่อตัวเติบโตต่อเนื่อง จากเทรนด์ผู้บริโภครักสุขภาพมากขึ้น จากเดิม “น้ำ” เป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกายของมนุษย์อยู่แล้วถึง 70% ในแต่ละวันยังมีคำแนะนำว่าควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้วบ้าง หรือ 1.5 ลิตรบ้าง
ทว่าในชีวิตจริง จะมีผู้บริโภคสักกี่คนที่ดื่มน้ำเปล่าได้ปริมาณมากขนาดนั้น และหากมองไปในตลาดเครื่องดื่มทุกหมวด(Cartegory) ยิ่งเห็นทางเลือกมากมายที่อยู่ในตู้แช่ ทั้งน้ำดื่ม น้ำแร่ น้ำอัดลม เครื่องดื่มฟังก์ชั่นนอลดริ้งค์ น้ำผลไม้ ชาเขียวพร้อมดื่ม นับกันไม่หวาดไม่ไหว
ปี 2563 เป็นปีที่ท้าทายของตลาดเครื่องดื่มไม่น้อย เพราะช่วง 5 เดือนแรกของปี ตลาดทุกหมวดหมู่มูลค่าราว 1.5 แสนล้านบาท อยู่ในภาวะ “ติดลบ” เกือบยกแผง เช่น น้ำอัดลมติดลบ 2.5% น้ำดื่มติดลบ 12% ชาเขียวพร้อมดื่มติดลบ 13% เครื่องดื่มเกลือแร่ติดลบ 13% เป็นต้น (ดูกราฟด้านล่าง)
ท่ามกลาง Red Zone ของเครื่องดื่ม กลับมี “น้ำดื่มผสมวิตามิน” ที่โนสนโนแคร์ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ กำลังซื้อ และโรคโควิด-19 ระบาด สามารถผงาดเติบโตได้ถึง 75% ตลอดระยะ 8 เดือนแรกของปี และนั่นทำให้มีผู้เล่นทั้ง “ยักษ์เล็ก-ยักษ์ใหญ่” ในวงการเครื่องดื่มต้องขอมีพื้นที่ Share of Throat เพื่อเก็บเกี่ยวส่วนแบ่งทางการตลาด(Market share)ที่ละเล็กละน้อยแล้วไต่ขึ้นเป็น “ผู้นำตลาด”
2 วันที่ผ่านมา กรุงเทพธุรกิจ เปิดกลยุทธ์น้องใหม่ "เจเล่" ปั้นแบรนด์ “AQUA-VITZ by Jele” มาสู้ศึก ล่าสุดมีอีก 2 แบรนด์ใหม่เข้าทำตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินเพิ่ม โดยแบรนด์แรกคือ “ดี อาร์ ดริ้งค์” น้ำดื่มผสมวิตามินซีสูง 200% และมีวิตามินบีต่างๆ จากบริษัท ดี.อาร์ ดริ้งค์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย
จุดเด่นของสินค้ามาในบรรจุภัณฑ์สีฟ้า ฝาคล้องนิ้วได้ เหมือนกับต้นตำรับ “ยันฮี วิตามิน วอเตอร์” ยิ่งกว่านั้นรสชาติมีความใกล้เคียง(ขึ้นกับการรับรสของผู้บริโภคส่วนบุคคล) ส่วนผลิตภัณฑ์มีทั้งวิตามินซี 200% วิตามินบี3 วิตามินบี6 วิตามินบี12 ไบโอติน กรดโฟลิก อความิน ขนาด 500 มิลลิลิตร(มล.) ราคาขาย 18 บาท ประเดิมช่องทางขายในตู้แช่ร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น
ทว่า ที่ต้องจับตาอย่างยิ่ง ต้องยกให้การลงสนามของค่ายเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย อย่าง “สิงห์” ที่ต่อยอดแบรนด์น้ำแร่ “เพอร์ร่า” ไปสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่น้ำผสมวิตามิน และแร่ธาตุ “เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์” ในบรรจุภัณฑ์ขวดพีอีทีสีน้ำเงินที่มีคุณสมบัติช่วยกรองและป้องกันแสง เช่นเดียวกับหลายๆแบรนด์น้ำดื่มผสมวิตามินใช้นั่นเอง
มาทั้งที จึงต้องมีจุดแข็งเพื่อขายผู้บริโภค ซึ่ง “เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์” จัดเต็มเหมือนกัน โดยมีทั้งวิตามินซีสูง 200% วิตามินบี1 ไนอะซินหรือวิตามินบี3 กรดแพนโทธินิคหรือวิตามินบี5 วิตามินบี6 ไบโอติน โฟเลท และวิตามินบี12 เรียกว่ารวมๆมีวิตามินซีและบี 8 ชนิด
นอกจากนี้ ยังระบุแหล่งนำเข้าวิตามินส่งตรงจากประเทศเยอรมัน ซึ่งผู้บริโภคบางส่วนอาจทราบว่าวิตามินต่างๆจากเยอรมันเป็นที่นิยมเติมลงในน้ำดื่มเพื่อบริโภคในชีวิตประจำวันด้วย ซึ่งจุดขายดังกล่าว หลายแบรนด์นำมาใช้สร้าง “ความแตกต่าง” จากคู่แข่ง บางรายนำเข้าวิตามินจากญี่ปุ่น อังกฤษ เป็นต้น
สำหรับ “เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์” บรรจุขวดขนาด 500 มล. จำหน่ายในราคา 17 บาท และประเดิมช่องทางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นเช่นกัน แม้สิงห์จะเป็นมีอาณาจักรเครื่องดื่มที่ยิ่งใหญ่ แต่สินค้าดังกล่าวจ้างผลิตผ่านบริษัท โตโย ไซกัน(ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตรายใหญ่ในวงการเครื่องดื่ม โดยการผลิตอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อการันตีคุณภาพและชื่อชั้นของแบรนด์
นาทีนี้ “ผู้นำตลาด” อย่าง “ยันฮี วิตามิน วอเตอร์” คงต้องปาดเหงื่อและทำงานหนักขึ้นในการขบคิดกลยุทธ์การทำตลาดเพื่อรักษา “บัลลังก์แชมป์” ที่กำลังถูกเขย่าจากหน้าใหม่หลายรายทั้งเล็กและใหญ่
ส่วน “ผู้ท้าชิง” ก็ไม่ต่างกัน เพราะการวิ่งตามเจ้าตลาด ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องระดมสรรพกำลัง อาวุธการตลาดที่มีออกมาใช้ เรียกว่าต้อง “ออกแรงมาก” เป็นเท่าตัวเพื่อจะไล่แซงแบรนด์ที่ออกสตาร์ทล่วงหน้าไปแล้ว สร้างการรับรู้แบรนด์(Brand Awareness)แก่ผู้บริโภค ใช้กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ ราคา โปรโมชั่น กระตุ้นให้เกิดการ “ทดลอง” และเลือกดื่มไปแล้ว
สงครามการตลาดแดงเดือด(Red Ocean)ครั้งนี้ น่าจับตาอย่างมาก ทั้งแนวโน้มตลาดที่จะโตแรงไปได้อีกนานแค่ไหน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า “ราคาที่สูง” เป็นอุปสรรคไม่น้อย แม้หลายรายจะมองว่าราคาขายที่แบรนด์ตั้งมาจะเป็น Magic Number ให้ผู้บริโภคยอมควักเงินซื้อก็ตาม ยิ่งกว่านั้นตลาดที่ยังอยู่แค่ระดับพันล้านบาทต้นๆ แต่ผู้เล่นมาก แต่ละแบรนด์จะต้องทุ่มงบทำการตลาดอย่างมาก เพื่อโกยยอดขายก่อน แต่นั่นอาจทำให้ “กำไร” ที่ผู้ประกอบการเคยมองว่าเย้ายวนเพราะสูงกว่าน้ำดื่มอาจปรับตัวลดลง
ที่สำคัญในเกมการตลาด ระยะแรกเป็นเกมของการลงทุน ทุ่มเงินทำตลาด ดั๊มพ์ราคาขายเพื่อ “ฆ่า” คู่แข่งไปทีละราย จึงต้องมาลุ้นว่าจะมีกี่แบรนด์ที่..อยู่รอด!!
ในปี 2562 ตลาดเครื่องดื่มทุกหมวดมีมูลค่าถึง “1.5 แสนล้านบาท” และยังคงย่งพื้นที่การดื่ม หรือ Share of Throat ของผู้บริโภคต่อไป เพราะไม่ว่าหมวดไหน คงไม่มีใครต้องการสูญเสีย “ยอดขาย” และส่วนแบ่งทางการตลาดแน่นอน
ตลาดเครื่องดื่มแต่ละหมวดหมู่เล็กใหญ่แค่ไหน แล้วใครเป็นใคร ลองพิจารณาผู้เล่น ดังนี้ ตลาดน้ำอัดลมมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท โค้ก เป๊ปซี่ เอส บิ๊ก โคล่า ขับเคี่ยวกันสนั่น, น้ำดื่ม(น้ำเปล่าและน้ำแร่)มูลค่าราว 3 หมื่นล้านบาท สิงห์ เบอร์ 1 ที่กำลังถูก คริสตัล ไล่ชิงส่วนแบ่งตลาด และมีเนสท์เล่ น้ำทิพย์ อีกหลายแบรนด์สู้
ชาเขียวพร้อมดื่ม 1.2 หมื่นล้านบาท โออิชิ และอิชิตัน คือผู้เล่นหลัก ที่มีตัวประกอบอื่นๆ ในเซ็กเมนต์พรีเมี่ยมมากมาย เช่น ฟูจิชะ, อิโตเอ็น, และพอคค่า ฯ เครื่องดื่มชูกำลังกว่า 3 หมื่นล้านบาท มีเอ็ม-150, คาราบาว, กระทิงแดง ฯ กาแฟพร้อมดื่ม 13,000 ล้านบาท มีเบอร์ดี้, เนสกาแ, คาราบาว, เอ็มเพรสโซ่ และเพรียวคอฟฟี่ ฯ และน้ำดื่มผสมวิตามิน 1,200 ล้านบาท มียันฮี วิตามิน วอเตอร์, บลู, วิตอะเดย์, อควาวิทซ์ บาย เจเล่, อิชิตันน้ำอัลคาไลน์ พีเอช พลัส 8.5, อิชิตัน วิตามิน วอเตอร์ ซี พลัส อี, น้ำอัลคาไลน์ เอทพลัส, น้ำอัลคาไลน์ แมนเนเจอร์ พีเอช พลัส 8.5, ดี อาร์ ดริ้งค์ และ“เพอร์ร่า วิตามิน วอเตอร์” เป็นต้น ซึ่งทุกหมวดขับเคี่ยวกันเดือด!!