เปิดป่าในเมืองพังงา-กระบี่ 'อาสาสมัครพิทักทะเล' ร่วมงานนับพันคน
“วราวุธ” เปิดป่าในเมืองจังหวัดพังงาและกระบี่ “อาสาสมัครพิทักทะเล” ร่วมงานนับพันคน ย้ำ “ป่า” และ “เมือง” อยู่ด้วยกันอย่างพึ่งพากันตามวิถีธรรมชาติ
การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน กลายเป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึง การบริหารจัดการพื้นที่ป่าชายเลนของประเทศ “โครงการป่าชายเลนในเมือง สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” ดำเนินการเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของชุมชนรอบป่าชายเลนในการดูแลรักษาผืนป่าชายเลน
ด้านนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เดินทางลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมเปิดพื้นที่ป่าในเมืองจังหวัดพังงาและกระบี่ เพื่อกระตุ้นเตือนบทบาทของชุมชนในการดูแลป่า พร้อมย้ำป่าและเมืองอยู่ด้วยกันได้อย่างสมดุล เป็นวิถีปกติของธรรมชาติ ทั้งนี้ วอนทุกฝ่ายช่วยกันดูแลผืนป่าชายเลนให้คงความสมบูรณ์ ยั่งยืน ตลอดไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวภายหลังการเป็นประธานเปิดงานโครงการป่าชายเลนในเมือง สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย จังหวัดกระบี่และพังงาว่า จากรายงานล่าสุด ภาพรวมพื้นที่ป่าชายเลนของประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 203,000 ไร่ รวมมีพื้นที่ป่าชายเลนคงสภาพถึง 1.73 ล้านไร่ ซึ่งเป็นผลจากความร่วมมือของพี่น้องประชาชนและทุกภาคส่วน อย่างไรก็ตาม เราก็ยังต้องการให้พื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลได้ยึดแนวคิดในการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาจนนำไปสู่ความยั่งยืน อีกทั้ง การสนับสนุนให้คนอยู่กับป่าอย่างพึ่งพาอาศัยกัน โดยในวันนี้ (1 พฤศจิกายน 2563) ตนได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์และการทำงานของหน่วยงานด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่จังหวัดกระบี่และพังงา พร้อมทั้งได้เปิดโครงการป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย” ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนแนวคิดการอยู่ร่วมกันระหว่างชุมชนกับป่าชายเลน
“ป่าชายเลนในเมือง เป็นสิ่งสะท้อนถึงความกลมกลืนระหว่าง “เมือง” กับ “ป่า”
ป่าช่วยดูแลเมือง และ ชุมชนเมืองช่วยดูแลป่า การพึ่งซึ่งกันและกัน คือ วิถีแห่งธรรมชาติ
นิเวศบริการของป่าชายเลนมีมากกว่าป่าบก เมื่อป่าชายเลนคงอยู่ ประโยชน์นานัปการย่อมเกิดขึ้นกับชุมชน
อย่าปล่อยให้ป่าดูแลเราอย่างเดียว เราต้องช่วยกันดูแลป่าตอบแทนด้วย”
นอกจากนี้ ตนได้พบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชนและเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทะเลในพื้นที่ ทุกคนคือกำลังสำคัญของการดูแลผืนป่าชายเลนในจังหวัดกระบี่และพังงา และพร้อมที่จะเป็นกำลังสนับสนุนการทำงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต่อไป พร้อมนี้ ได้พูดคุยและให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่เปรียบเสมือนฟันเฟืองที่สำคัญในพื้นที่ในการลาดตระเวนและขับเคลื่อนการดำเนินงาน และได้เปิดสำนักงานที่ทำการของสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 6 (พังงา) ที่จะเป็นหน่วยประสานงานกับพี่น้องประชาชนอย่างใกล้ชิด และดูแลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในระดับพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ตนพร้อมที่จะให้การสนับสนุนแก่ทุกฝ่ายในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่กับประเทศชาติตลอดไป
ด้านนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวเสริมว่า จังหวัดพังงาเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ป่าชายเลนมากที่สุดในประเทศไทยกว่า 240,000 ไร่ ซึ่งเป็นผืนป่าชายเลนที่สมบูรณ์ และที่สำคัญ ผืนป่าชายเลนจังหวัดกระบี่ เป็นป่าที่สมบูรณ์และได้รับการยอมรับในระดับโลกให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญในระดับนานาชาติ สำหรับพื้นที่ป่าในเมืองจังหวัดพังงา ต. ท้ายช้าง อ. เมือง มีเนื้อที่ 700 ไร่ และป่าชายเลนในเมืองจังหวัดกระบี่ มีเนื้อที่กว่า 3,649 ไร่ ซึ่งตนเชื่อมั่นว่าชุมชนรอบป่าในเมืองทั้ง 2 แห่ง จะช่วยกันป้องกันดูแลให้ผืนป่ายังคงสมบูรณ์เช่นนี้ตลอดไป อย่างไรก็ตาม ตนได้สั่งการให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมป่าไม้ ในการประกาศพื้นที่ป่าชายเลนในเมืองและป่าชุมชน ซึ่งสนับสนุนให้ชุมชนได้มีโอกาสดูแลและจัดการพื้นที่ป่าซึ่งเป็นสมบัติของชุมชน นั้น ๆ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ต่อไป
สำหรับรายละเอียดและความสำคัญในการจัดงานโครงการป่าชายเลนในเมือง นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า การจัดงานโครงการป่าชายเลนในเมือง สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย ในพื้นที่จังหวัดกระบี่และพังงา ได้รับความสนใจจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน และเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งสิ้นเกือบ 1,000 คน อย่างไรก็ตาม กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้เปิดพื้นที่ป่าชายเลนในเมืองแล้วทั้งสิ้น 33 แห่ง ใน 16 จังหวัดชายฝั่งทะเล และเตรียมขยายพื้นที่และเปิดพื้นที่ป่าในเมืองแห่งใหม่ในอีกหลายพื้นที่ให้ครบ 24 จังหวัดชายฝั่งทะเล ต่่อไป นายโสภณ ทองดี กล่าวทิ้งท้าย