ส่องแนวโน้มหลัง 'เลือกตั้งสหรัฐ' นักลงทุนไทยมีทางเลือกอะไรบ้าง?
นับถอยหลังสู่วันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ (3 พ.ย.) ซึ่งกำลังเป็นที่จับตาทั่วโลก โดยเฉพาะแวดวงตลาดทุน แต่ไม่ว่าผู้ชนะจะเป็น "ทรัมป์" หรือ "ไบเดน" ทิศทางเศรษฐกิจเบอร์ 1 โลกหลังจากนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อตลาดโลก รวมถึงไทย ไม่มากก็น้อย
เมื่อเร็วๆ นี้ "แอลจีที" (LGT) ผู้นำในกลุ่มธุรกิจบริการด้านไพรเวทแบงกิ้งและการบริหารสินทรัพย์ระหว่างประเทศ ออกรายงานเกี่ยวกับมุมมองเกี่ยวกับการเลือกตั้งของสหรัฐในปีนี้ และผลกระทบต่อประเทศไทย ระบุว่า ไม่น่าจะมีผลที่ชัดเจนสำหรับการเลือกตั้งสหรัฐในวันที่ 4 หรือ 5 พ.ย. เนื่องจากการรับบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการนับคะแนนจนกว่าจะแล้วเสร็จ ซึ่งความไม่ชัดเจนนี้อาจทำให้เกิดความกังวลใจและความผันผวนในตลาด โดยสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งมีความสำคัญไม่ใช่คะแนนนิยมจากประชาชน ทำให้ต้องดูผลการเลือกตั้งแบบรัฐต่อรัฐ
จากข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา ตลาดมีแนวโน้มที่จะตอบรับในทางลบเมื่อใกล้วันเลือกตั้ง แล้วปรับตัวดีขึ้นหลังจากประกาศผล ซึ่งหมายความว่า อีก 2 หรือ 4 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งข้างหน้าตลาดอาจมีความผันผวน
แม้จะเป็นเช่นนั้น แอลจีทียังคงเห็นการพัฒนาในทางที่ดีของตลาดโดยทั่วไป เนื่องจากการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจะขจัดความไม่แน่นอน และตลาดน่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ วัน
แอลจีทีคาดว่า มีแนวโน้มสูงที่การเลือกตั้งจะทำให้เกิดคลื่นสีฟ้า (Blue Wave) ที่พรรคเดโมแครตจะชนะทุกเก้าอี้ของรัฐบาล ครองทั้งทำเนียบขาว เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
ผลการสำรวจในระดับประเทศ โพลชี้ โจ ไบเดน จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี และความได้เปรียบของเขาเหนือ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขยายวงกว้างขึ้น ตลาดคาดว่าไบเดนจะได้รับชัยชนะ หรือแม้กระทั้งเกิดคลื่นสีฟ้า เนื่องจากโควิด-19 ยังคงเป็นปัญหาสำคัญในรัฐที่พรรคการเมืองได้รับคะแนนสนับสนุนสูสีกัน ทำให้ปัญหาโควิด-19 เป็นปัจจัยในการแข่งขันมากกว่าการให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจตามปกติ
สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลในทางลบต่อ โดนัลด์ ทรัมป์ แต่เขาอาจได้รับประโยชน์จากข้อเท็จจริงที่ว่าเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐกำลังเฟื่องฟูจากอัตราการกู้ยืมที่อยู่ในระดับต่ำซึ่งส่งผลให้ราคาพุ่งสูงขึ้น
ขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านที่มีที่อายุ 30 ปี ในสหรัฐต่ำกว่า 3% ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ก่อนปี 2514 หากต้องการกู้เงินเพื่อซื้อบ้านไม่มีช่วงไหนที่จะถูกกว่าเวลานี้
ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มที่จะยังคงอ่อนค่าต่อไปในปี 2564 หลังจากที่อ่อนลงเรื่อย ๆ ตลอดปีนี้ โดยมี 2 เหตุผลหลักๆ เหตุผลแรกคือ รัฐบาลสหรัฐกำลังขาดดุลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์นับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีมูลค่าถึง 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ ณ เดือน ส.ค. 2563 ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจที่น่าจะมีขึ้น ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งก็ตาม
อีกเหตุผลคือ สกุลเงินส่วนใหญ่ เช่น เงินบาท ยูโร และฟรังก์สวิส จะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ เนื่องจากสหรัฐขาดดุลการคลังจำนวนมาก รวมถึงขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ตัวอย่างเช่น ขณะนี้เงิน 1 ยูโรมีมูลค่าประมาณ 1.17-1.18 ดอลลาร์ แต่ก็เป็นไปได้ที่จะคาดว่ามูลค่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.25 ดอลลาร์ ภายใน 12 เดือน
สเตฟาน โฮเฟอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุน กล่าวว่า “ในแง่ของการวางตำแหน่งพอร์ตการลงทุนของเรานั้น เรามุ่งเน้นไปที่ภาคเทคโนโลยี บริษัทยาและการแพทย์ และกลุ่มประเทศยุโรป ซึ่งนักลงทุนไทยมีทางเลือกในการลงทุนในด้านเหล่านี้”
- เทคโนโลยี: ด้วยความจริงที่ว่าภาคเทคโนโลยีมีรายได้เติบโตขึ้น ในขณะที่ภาคธุรกิจอื่นในโลกต่อสู้เพื่อทำกำไร รายได้ในภาคเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 33% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน
- บริษัทยาและการแพทย์: ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง ระบบการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานจะไม่เปลี่ยนแปลง ผลกำไรของธุรกิจบริษัทยาและการแพทย์ จะยังคงได้รับการคุ้มครอง ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่มีผลดำเนินการดีในปี 2563
- กลุ่มประเทศยุโรป: เพิ่มน้ำหนักการลงทุน เนื่องจากค่าเงินยูโรจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ และมีแนวโน้มว่าเงินทุนจะไหลเข้าสู่ยูโรโซน ในขณะที่ภูมิภาคนี้มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น แต่อัตราการเสียชีวิตยังคงอยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งหมายความว่ายุโรปได้ค้นพบวิธีจัดการไวรัสโคโรนาในแบบที่ภูมิภาคอื่น ๆ ของโลกยังไม่มี
เอกภพ เมฆกัลจาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ แอลจีที (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทหลักทรัพย์ แอลจีที (ประเทศไทย) จำกัด ได้เริ่มให้บริการการจัดการกองทุนส่วนบุคคลเพื่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศตั้งแต่เดือน ก.ย. ที่ผ่านมา โดยนักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงแผนการลงทุนของกองทุนส่วนบุคคล 17 ประเภท ซึ่งเป็นแผนการลงทุนเดียวกันกับที่นำเสนอให้แก่นักลงทุนในเอเชีย
นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถกำหนดเงื่อนไขการลงทุนได้เอง บริษัทได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากนักลงทุนไทยต้องการให้มีผู้จัดการกองทุนที่มีความชำนาญเข้ามาช่วยบริหารสินทรัพย์โดยเฉพาะในปีที่ตลาดผันผวนหนักอย่างเช่นปีนี้
เอกภพเสริมว่า จากข้อมูล ณ วันที่ 23 ต.ค. แผนการลงทุนแบบ Balanced Range Portfolio ซึ่งมีกลยุทธ์การลงทุนกระจายการลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน สามารถให้ผลตอบแทนมากกว่า 8% ในปีนี้ ซึ่งถือว่ามากกว่าการลงทุนในหลักทรัพย์ไทย หรือแผนการลงทุนในตราสารทุนที่ แอลจีที คัดเลือกให้อยู่ใน Global Innovation Megatrends ประกอบด้วย 6 กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะเติบโตในอนาคต ได้แก่ AI & Smart Technologies, Automation & Robotics, Advancing Healthcare, Internet of Things, Lifestyle Digitalization และ Data & Cloud ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนไทยอย่างมาก และในปีนี้สามารถให้ผลตอบแทนได้มากกว่า 44%