พาณิชย์ ย้ำไทยถูกตัดสิทธิใช้จีเอสพีเพียง 147 รายการมูลค่า 600 ล้านบาท
กรมการค้าต่างประเทศ แถลงย้ำ ไทยใช้สิทธิจีเอสพี 147 รายการ จากยอดสินค้าที่ถูกสหรัฐตัดสิทธิ 231 รายการ ต้องเสียภาษีสินค้านำเข้า 3-4 %หรือมีมูลค่า 600 ล้านบาทไม่ใช่ 2,500 ล้านบาท ชี้เป็นเรื่องปกติที่สหรัฐจะทบทวนการให้สิทธิ
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการที่สหรัฐฯ ได้พิจารณาตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร หรือจีเอสพี(GSP) เป็นรายประเทศ โดยได้ตัดสิทธิจีเอสพี สินค้าไทยรวม 231 รายการ รวมมูลค่า 2,500 ล้านบาทโดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.2563 เป็นต้นไป ซึ่งการตัดจีเอสพีครั้งนี้มีสาเหตุจากการเปิดตลาดสินค้าและบริการประเด็นการเปิดตลาดสินค้าเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ เนื่องจากสหรัฐฯ เห็นว่าการเปิดตลาดสินค้าของไทยนั้น ไม่อยู่ในระดับที่เท่าเทียมและสมเหตุสมผล แม้ไทยชี้แจงอย่างต่อเนื่องถึงผลกระทบด้านสุขภาพและสุขอนามัยของประชาชน
ทั้งนี้ การตัดสิทธิจีเอสพีจำนวน 231 รายการ เป็นสินค้าที่มีการใช้สิทธิ แต่ไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐ จริงในปี 2562 จำนวนเพียง 147 รายการ คิดเป็นภาษีที่ต้องกลับไปเสียนำเข้า ในอัตราปกติ 3-4 % มูลค่าประมาณ 19 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 600 ล้านบาท ไม่ใช่ 25,000 ล้านบาท โดย มีสินค้าที่ได้รับผลกระทบ อาทิ อุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์และส่วนประกอบ พวงมาลัยรถยนต์ กรอบโครงสร้างแว่นตาทำด้วยพลาสติก เคมีภัณฑ์ เกลือฟลูออรีน ที่นอนและฟูกทำด้วยยางหรือพลาสติก หีบกล่องทำจากไม้ ตะปูควงสำหรับใช้กับไม้ อะลูมิเนียมเจือแผ่นบาง เป็นต้น
นายกีรติ กล่าวว่า การให้สิทธิฯจีเอสพี เป็นการให้ฝ่ายเดียวโดยสหรัฐฯ ซึ่งที่ผ่านมาสหรัฐฯ มีการทบทวนคุณสมบัติของประเทศที่ได้รับสิทธิฯ อย่างต่อเนื่อง และในปี 2562 ได้ประกาศระงับสิทธิฯจีเอสพี ทั้งประเทศ กับอินเดีย และตุรกี ด้วยเหตุผลด้านการเปิดตลาดสินค้าและบริการ และด้านเกณฑ์ระดับการพัฒนาประเทศ ตามลำดับ และได้ระงับสิทธิฯ บางรายการสินค้ากับยูเครน ด้วยเหตุผลด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา นอกจากนี้ ยังมีหลายประเทศที่สหรัฐฯ อยู่ในระหว่างการพิจารณาระงับสิทธิฯจีเอสพี เพิ่มเติมด้วยเหตุผลการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ได้แก่ อินโดนีเซีย และแอฟริกาใต้ และในประเด็นการคุ้มครองสิทธิแรงงาน เช่น เอริเทรีย ซิมบับเว คาซัคสถาน และอาเซอร์ไบจาน เป็นต้น
สำหรับการพิจารณาต่ออายุโครงการจีเอสพี ที่สหรัฐฯ ให้สิทธิฯ แก่ทุกประเทศ (119 ประเทศกำลังพัฒนา และพัฒนาน้อยที่สุด) จะสิ้นสุดอายุโครงการในวันที่ 31 ธ.ค. 2563 ขณะนี้ สหรัฐฯ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อต่ออายุโครงการจีเอสพี โดยจะต้องออกเป็นกฎหมาย ทั้งนี้ อาจมีความล่าช้าและต่ออายุไม่ทันระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว ขั้นตอนการพิจารณาเพื่อต่ออายุโครงการอาจใช้เวลาหลายเดือน และต่ออายุให้หลังจากหมดอายุแทบทุกครั้ง ซึ่งที่ผ่านมา หากสหรัฐฯ ต่ออายุโครงการไม่ทันกำหนดเวลาสิ้นสุดโครงการ สหรัฐฯ จะให้สิทธิฯ ย้อนหลัง เพื่อให้การให้สิทธิจีเอสพี เป็นไปอย่างต่อเนื่อง อย่างกรณีการต่ออายุครั้งล่าสุดเมื่อปี 2561 สหรัฐฯ ได้ประกาศต่ออายุในเดือนมี.ค. 2561 โดยให้มีผลใช้บังคับใช้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2561 ซึ่งผู้ส่งออกมีความเข้าใจเรื่องดังกล่าวอย่างดีอยู่แล้ว
นายกีรติ กล่าวว่า ในส่วนของมาตรากรรองรับผลกระทบจากการตัดสิทธิจีเอสพี ทางกรมฯจะ จะเร่งดำเนินการในการประสานกับฝ่ายสหรัฐฯ ซึ่งสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative: USTR) ยินดีหากไทยจะหาทางออกร่วมกัน เนื่องจากสิทธิฯจีเอสพี จะช่วยทำให้ผู้ส่งออกไทยและผู้นำเข้าสหรัฐฯ สามารถลดภาระภาษี ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ นอกจากนี้กรมฯได้เตรียมมพร้อมมาตรการรองรับผลกระทบจากการระงับสิทธิฯ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยแล้ว
เบื้องต้นวางแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างหลากหลาย อาทิ Online Business Matching สำหรับสินค้าที่มีความต้องการในตลาดสหรัฐฯ และตลาดใหม่ การจัดกิจกรรมส่งเสริมสินค้าไทยในงานแสดงสินค้าในสหรัฐฯ และตลาดใหม่ การส่งเสริมสินค้าไทยเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยใช้ช่องทาง Cross border e-commerce เข้าสู่ผู้บริโภคในตลาดสหรัฐฯ และตลาดใหม่โดยตรง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้หารือ และทำความเข้าใจกับภาคเอกชนตลอดมา เพื่อเตรียมการรองรับและเน้นในเรื่องกลยุทธ์การตลาดที่ให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพมาตรฐานสินค้ามากกว่าการแข่งขันด้านราคา
ปัจจุบัน สหรัฐฯ ให้สิทธิจีเอสพีแก่ทุกประเทศประมาณ 3,500 รายการ มีเงื่อนไขการตัดสิทธิ คือ ระดับการพัฒนามีรายได้ประชาชาติต่อหัวไม่เกิน 12,375 ดอลลาร์, การเปิดตลาดสินค้าและบริการ , การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา , การคุ้มครองสิทธิแรงงาน , การกำหนดนโยบายลงทุนที่ชัดเจนและลดข้อจำกัดทางการค้า และการสนับสนุนสหรัฐฯ ในการต่อต้านการก่อการร้าย โดยในส่วนของไทยมีการใช้สิทธิประมาณ 1,100 รายการ ถูกตัดสิทธิไปแล้ว 315 รายการ จากกรณีสหรัฐฯ กล่าวหาไทยไม่คุ้มครองแรงงาน และ 147 รายการ กรณีไม่เปิดตลาดสินค้าและบริการ รวม 462 รายการ คงเหลือ 638 รายการ ที่ยังไม่ถูกตัดสิทธิ