ฝ่ายค้านฮ่องกง 'ลาออก' ยกชุด! ประท้วงจีนขับส.ส.ด้วยข้อหา 'ไม่รักชาติ'

สมาชิกสภานิติบัญญัติฮ่องกง 4 คน ได้แก่ อัลวิน ยัง, เดนนิส ก๊วก, ก๊วก กา-กี่ และ เคนเน็ธ เหลียง ถูกขับพ้นสภาทันทีตามมาตรการล่าสุดที่คณะกรรมการสภาประชาชนแห่งชาติจีนเห็นชอบเมื่อช่วงเช้าวันนี้

มาตรการนี้ให้อำนาจคณะผู้บริหารฮ่องกงในการขับไล่นักการเมืองคนใดก็ตามที่ถือว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคง” หรือ “ไม่รักชาติ” โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของศาล

- 4 สมาชิกสภานิติบัญญัติฮ่องกงที่ถูกขับพ้นตำแหน่ง ได้แก่ เคนเน็ธ เหลียง (บนซ้าย), อัลวิน ยัง (บนขวา), เดนนิส ก๊วก (ล่างซ้าย) และ ก๊วก กา-กี่ (ล่างขวา) -

หลังจากนักการเมืองฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตย 4 คนนั้นถูกขับพ้นสภาได้ไม่นาน กลุ่มสมาชิกสภานิติบัญญัติร่วมฝ่ายค้านที่เหลืออีก 15 คน ออกมาแถลงข่าวใหญ่ว่า จะร่วมกันยื่นใบลาออกทั้งคณะ เพื่อประท้วงมาตรการกดดันของปักกิ่ง

“เราจะยืนหยัดเพื่อเพื่อนร่วมสมาชิกฝ่ายค้านของเรา เราจึงขอลาออกทั้งคณะ” อู่ ฉือ-ไว หนึ่งใน 15 สมาชิกสภานิติบัญญัติฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยของฮ่องกง เผยกับกองทัพผู้สื่อข่าวช่วงเย็นวันนี้

เคลาเดีย โม สมาชิกฝ่ายค้านอีกคนหนึ่ง เผยว่า ปักกิ่งพยายามส่งสัญญาณมรณะถึงการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของฮ่องกง

“พวกเขาจะคิดว่า จากนี้ไป ใครก็ตามที่พวกเขามองว่ามีความผิดทางการเมืองหรือไม่รักชาติ พวกเขาก็สามารถขับไล่คุณออกไปง่าย ๆ” โมกล่าว “เราลาออกจากเงื่อนไขนี้ สภาแห่งนี้ แต่เราจะไม่ลาออกจากการต่อสู้เพื่อฮ่องกง!”

มีรายงานว่า มาตรการนี้เป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของจีนเพื่อควบคุมความขัดแย้งในสภานิติบัญญัติ รวมถึงเป็นความตั้งใจล่าสุดของปักกิ่งที่จะควบคุมกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลในฮ่องกง และอาจส่งผลต่อกระทบต่อสมาชิกฝ่ายค้านเกือบ 20 คนในสภานิติบัญญัติที่ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 70 คน

เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา จีนได้อนุมัติให้มีการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ในฮ่องกง ทำให้บรรดาประเทศในกลุ่ม G7 กล่าวหาว่า จีนละเมิดเงื่อนไขของข้อตกลงการรับมอบฮ่องกงคืนจากอังกฤษ และทำให้คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ สั่งคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่อาวุโสจีนหลายสิบคนที่เกี่ยวข้อง รวมถึง “แคร์รี หล่ำ” หัวหน้าคณะผู้บริหารฮ่องกง

สำหรับตำแหน่งหัวหน้าคณะผู้บริหารฮ่องกงถูกคัดเลือกโดยคณะกรรมาธิการที่สนับสนุนปักกิ่ง ส่วนครึ่งหนึ่งของสมาชิกสภานิติบัญญัติทั้งหมด 70 คน หรือ 35 คนได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากผู้มีสิทธิออกเสียงชาวฮ่องกง ทำให้พลเมืองราว 7.5 ล้านคนในศูนย์กลางการเงินแห่งนี้ แทบไม่มีโอกาสได้แสดงจุดยืนทางการเมืองผ่านบัตรลงคะแนนเสียง