บลจ.ลุยออกกองทุนส่งท้ายปี ‘หุ้นโลก-อาร์เอ็มเอฟ’ฮอต!
ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายปีนี้หลายบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยังเดินหน้าออกกองทุนใหม่ต่อเนื่องในระดับ “หมื่นล้านบาท” ไม่ว่าจะเป็นกองทุนประหยัดภาษี กองทุนหุ้นและบอนด์ทั่วโลก
รวมถึงกองทุนเทอมฟันด์และสต็อกเจอร์ฟันด์ที่ได้รับความนิยมตลอดปี เน้นตอบโจทย์นักลงทุนทั่วไป สามารถสร้างโอกาสหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มท่ามกลางภาวะตลาดที่ผันผวนสูง และยังได้่รับสิทธิลดหย่อนภาษี
นางสาวศุภรัตน์ อารีย์วงศ์ ผู้บริหารกลุ่มกลยุทธ์การตลาดและผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ หรือ SCBAM เปิดเผยว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้เตรียมออกกองทุนใหม่ 5-6 กองทุน คาดระดมทุนอีกราว 1.8 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยกองทุนละ 3 พันล้านบาท โดยเป็นกองทุนใหม่เน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลก (Global Equity) 2 กองทุน ซึ่งการลงทุนหุ้นต่างประเทศเป็นธีมการลงทุนที่เหมาะสมในช่วงสภาพตลาดผันผวน ช่วยกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนระยะยาวได้อย่างมีเสถียรภาพ
ขณะเดียวกันยังคงออกกองทุนคอมเพล็กซ์ รีเทิร์น ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกองทุน Structure Fund ที่เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนตามราคาทองคำ และช่วยลดความเสี่ยงการขาดทุนเงินต้น โดยในปีนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก ซึ่งจะออกอีก 3-4 กองทุน
ด้าน นายชัชพล สีวลีพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บลจ.กรุงไทย หรือ KTAM เปิดเผยว่า ในช่วงปลายปีนี้เตรียมออกกองทุนใหม่อีก 5-6 กองทุน คาดระดมทุนได้ราว 1.5 หมื่นล้านบาท โดยยังเป็นกลุ่มกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ (Global Fixed Income) อายุประมาณ 1 ปี อีก 4 กองทุน คาดการณ์ผลตอบแทนที่ 1.5% ต่อปี ช่วยสร้างโอกาสหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการลงทุนเมื่อเทียบกับกองทุนเทอมฟันด์ทั่วไป โดยเหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่รับความเสี่ยงได้น้อยถึงปานกลาง
รวมถึงกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) อีก 1 กองทุน เน้นลงทุนในหุ้นจีน A Share สร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ลงทุนระยะยาวและสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนออกกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) อีก 3 กองทุน มูลค่าราว 1.5 หมื่นล้านบาท หรือ เฉลี่ยกองทุนละ 5 พันล้านบาท เน้นลงทุนในต่างประเทศเพื่อขยายโอกาสเพิ่มรับผลตอบแทนจากหุ้นต่างประเทศและสามารถนำไปลดหย่อนภาษี เหมาะกับนักลงทุนที่สามารถลงทุนในระยะยาวตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป ได้แก่ กองทุน K-CHANGE-RMF ลงทุนหุ้นโลก โดยลงทุนในบริษัทที่มีสินค้าและบริการเกี่ยวกับเทรนด์รักษ์โลก ซึ่งกองทุนหลักมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 34.17% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 8.98% ต่อปี (ณ 21 ต.ค. 2563) เสนอขายไปเมื่อวันที่ 2-6 พ.ย. ที่ผ่านมา
และหลังจากนี้จะมีกองทุน K-CHINA- RMF ลงทุนในหุ้นจีน เตรียมเสนอขายเร็วๆ นี้ และกองทุน K-USA-RMF ลงทุนในหุ้นสหรัฐ อยู่ระหว่างการขออนุมัติจัดตั้งกองทุน เป็นกองทุนที่สร้างผลตอบแทนเติบโตในระยะยาว
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า เตรียมเสนอขายกองทุน RMF อีก 1-2 กองทุน เฉลี่ยกองทุนละ 1 พันล้านบาท หรือราว 2 พันล้านบาท เน้นลงทุนต่างประเทศเป็นหลัก เพราะตลาดหุ้นต่างประเทศมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีและน่าสนใจกว่าตลาดหุ้นไทย
อีกทั้งไม่นานมานี้ บริษัทได้ออกกองทุน SSF 4 กอง เฉลี่ยกองทุนละ 1 พันล้านบาท หรือ ราว 4 พันล้านบาท เน้นลงทุนหุ้นไทยพื้นฐานดี หุ้นไทยขนาดกลางและเล็ก หุ้นจีน A Share และ หุ้นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในจีน และอีก 1 กองทุน มูลค่า 4-5 พันล้านบาท เน้นหุ้นของบริษัทที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับธีม Next Generation Internet ที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่น ระบบคลาวคอมพิวติ้ง บิ๊กเดต้า และบ็อกซ์เชน โดยในช่วงปลายปีนี้คาดว่าจะระดมทุนราว 1 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้่ในช่วงที่ผ่านมา มีอีกหลายบลจ.ออกกองทุนใหม่อย่างคึกคัก เช่น บลจ.บัวหลวง ยังคงออกกองทุน Term Fund อายุ 6 เดือนที่ขายเกือบทุกเดือนตามปกติ คาดจะออกเพิ่มอีก 2 กองทุน ราว 2.5 หมื่นล้านบาท หลังจากออกกองทุนใหม่ล่าสุด “กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีนเอแชร์เพื่อการเลี้ยงชีพ” หรือ B-CHINAARMF มูลค่ากองทุน 5 พันล้านบาท สร้างผลตอบแทนเติบโตระยะยาวในแผ่นดินจีน (A share) นำเสนอขายครั้งแรกในช่วงต้นเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา
เช่นเดียวกับ บลจ.ยูโอบี อยู่ระหว่างจัดตั้งกองทุนใหม่ 2 กองทุน มูลค่า 4 พันล้านบาท หรือ เฉลี่ยกองทุนละ 2 พันล้านบาท ได้แก่ กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ไชน่า เอ แชร์ อินโนเวชั่น ฟันด์ (UCI) เน้นลงทุนทุนในหุ้นประเทศจีน (A-SHARE) ในกลุ่มหุ้นอินโนเวชั่น สัดส่วน100% และกองทุนเปิด ยูไนเต็ด ซัสแทนเนเบิลอิควิตี้ โซลูชั่น ฟันด์ (USUS) เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม ESG โดยทั้งสองกองทุนใหม่นี้จะเปิดขายเร็วๆ นี้