เนสท์เล่ทุ่ม 4.5 พันล้าน ลุยลงทุน 3 โรงงาน
อาหารสัตว์ นมพร้อมดื่ม ไอศกรีมส่งสัญญาณโต เนสท์เล่ ทุ่มงบลงทุนครั้งใหญ่ 4,500 ล้าน สร้างโรงงานใหม่ เพิ่มกำลังการผลิต ยอมรับโควิดกระทบธุรกิจเร่งปรับโมเดล เปลี่ยนแผนลุยแม็กกี้ฟู้ดทรัคสู่ “แม็กกี้ คิทเช่น” ชะลองบโฆษณาฯ
นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า เปิดเผยว่า บริษัทประกาศแผนลงทุนครั้งใหญ่ในประเทศไทยโดยใช้งบประมาณ 4,500 ล้านบาท เพื่อสร้าง 3 โรงงานผลิตสินค้า แบ่งเป็น 2,550 ล้านบาท สร้างโรงงานแห่งใหม่ เพิ่มกำลังการผลิต และเสริมพอร์ตโฟลิโอธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่อมตะ และรองรับการเติบโตของตลาดอาหารสัตว์ที่โตราว 9% จากปีก่อน โรงงานดังกล่าวคาดเดินสายการผลิตกลางปี 2564
ส่วนงบลงทุน 1,530 ล้านบาท ได้สร้างโรงงานยูเอชที นวนคร 7 เพื่อผลิตนมตราหมี ไมโลยูเอชที หลังผลวิจัยของนีลเส็นระบุว่าตลาดครื่องดื่มนมวัวยูเอชทีและเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ยูเอชที เติบโตถึง 3% ใน 3 ปีข้างหน้า และใช้งบ 440 ล้านบาท เพิ่มไลน์การผลิตสินค้าไอศกรีมให้มีความมหลากหลาย จากที่ผ่านมายอดขายไอศกรีมของเนสท์เล่เติบโตอย่างมาก บริษัทยังใช้งบอีก 50 ล้านบาท ขยายธุรกิจอี-บิสสิเนส รับตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตกว่า 100% เป็นอัตราเร่งจากโควิด เทียบก่อนหน้านี้โตเพียง 30%
“ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบหลายปีเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่กำลังเติบโต ผลักดันธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของเนสท์เล่ในไทยเติบโตระยะยาวจากที่อยู่ในตลาดมา 127 ปี"
งบลงทุนดังกล่าวใช้ในปีนี้ 2,000 ล้านบาท ปีหน้า 2,500 ล้านบาท การขยายโรงงานครั้งนี้เกิดการจ้างงานกว่า 200 คน ทั้งนี้ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อแผนธุรกิจ และยอดขายสินค้าเนสท์เล่ เดิมจะมีการขยายโมเดลฟู้ดทรัคของแบรนด์ “แม็กกี้” แต่ต้องเปลี่ยนเป็นการปั้นร้าน “แม็กกี้ คิทเช่น” (MAGGI Kitchen)เป็นครัวกลางและหน้าร้านเพื่อเสิร์ฟอาหารเมนูต่างๆ ให้ลูกค้าในรูปแบบดีลิเวอรีแทน ซึ่งปัจจุบันมีหน้าร้านที่เดอะ มาร์เก็ต รวมถึงการเปิดตัวร้านเนสกาแฟฮับที่ล่าช้าออกไป แต่ปรับตัวเพื่อจำหน่ายสินค้าในรูปแบบดีลิเวอรีรับเทรนด์ผู้บริโภครักสะดวกและตลาดกำลังเติบโตพุ่งแรง
นอกจากนี้ สินค้าที่ทำตลาดเจาะกลุ่มผู้บริโภคนอกบ้านและเนสท์เล่ โปรเฟสชั่นนอล ซึ่งเป็นบริการอาหาร (ฟู้ดเซอร์วิส) ที่เจาะลูกค้าโรงแรม รวมถึงน้ำดื่ม ยอดขายได้รับผลกระทบบ้าง แต่สินค้าที่เจาะการบริโภคภายในบ้าน เช่น กาแฟผงสำเร็จรูป เนสกาแฟ ยอดขายเติบโตขึ้น สถานการณ์ดังกล่าวยังทำให้บริษัทชะลอการใช้จ่ายงบโฆษณาไปด้วย
“ยอดขายสินค้าบางกลุ่มเติบโต บางกลุ่มได้รับผลกระทบ แต่ภาพรวมยอดขายเติบโต 1 หลัก ใกล้เคียงปีก่อน ซึ่งโควิดทำให้เราต้องสปีดและปรับตัวในการทำงาน”
วิกฤติโควิด ยังทำให้เห็น 5 เทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ประกอบด้วย 1.ผู้บริโภคเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มองหาสินค้าที่สร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้น 2.การให้รางวัลตัวเองด้วยการมองหาอาหารรับประทานเล่นเติมสุขระหว่างวัน 3.เศรษฐกิจปัจจุบันทำให้ผู้บริโภคต้องการสินค้าที่คุ้มค่าเงินและคุ้มที่จะรับประทาน 4.ใส่ใจสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 5.ตลาดอีคอมเมิร์ซ ดีลิเวอรีเติบโต