สธ.เผยต้นตอทำพยาบาลติดโควิด 5 รายรวด

สธ.เผยต้นตอทำพยาบาลติดโควิด 5 รายรวด

สธ.เผยต้นตอทำพยาบาล 5 คนติดโควิดกลุ่มก้อนในASQ  ระบุตรวจคนเสี่ยงสูง-ต่ำ เฝ้าระวังในรพ.รวม 745 คนผลไม่พบเชื้อ สรุปไม่ใช่การติดเชื้อในรพ.แต่แพร่ต่อจากใช้ชีวิตประจำวัน  ไม่มีคนติดเพิ่ม จ.เชียงรายตรวจคนกว่า 5,000 รายพบแค่ 1 ราย  ย้ำทุกจ.ทั่วไทยเทียวได้

     เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2563  ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ในการแถลงข่าวสถานการณ์โควิด-19 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน  ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด -16 (ศบค.) กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้ติดโควิด รายใหม่  25 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ากักตัวในสถานที่กักกันทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การพบติดเชื้อในประเทศเพื่อนบ้านทั้งมาเลเซีย เมียนมา และกัมพูชายังต้อเฝ้าระวัง
     นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กล่าวว่า  กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา พบผู้ป่วยรายแรกที่จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2563  จากนั้นส่วนใหญ่อยู่ในจ.เชียงราย จำนวน 46 ราย ในจำนวนนี้เป็นพบในสถานที่กักกัน 27 ราย อีก  2 ราย พบจากการติดในประเทศจากการใกล้ชิดผู้ติดเชื้อที่กลับมาจากท่าขี้เหล็ก และ 17 รายเป็นผู้ลักลอบเข้าเมือง และตั้งแต่วันที่ 7-9 ธ.ค.2563การพบผู้ป่วยที่จ.เชียงรายเป็นการพบในผู้เข้าสถานที่กักกันทั้งหมด อีกทั้งจ.เชียงรายมีการคัดกรองผู้สัมผํสเสี่ยงสูงและเฝ้าระวังคนที่สงสัยไปแล้วราว 5,100 ราย ผ,พบติดโควิดเพียง 1 ราย คือรายที่ติดเชื้อจากการใกล้ชิดมากๆกับรายที่จ.พะเยาภาพรวมจึงอยู่ในสถานการณ์ควบคุมได้ ดังนั้น การไปเที่ยวในจ.เชียงราย รวมถึง จังหวัดอื่นๆที่มีพบผู้ติดเชื้อจากกลุ่มลักลอบกลับจากท่าขี้เหล็ก คือ จ.เชียงใหม่ 5 ราย  กรุงเทพฯ 3 ราย พะเยา 1 ราย พิจิตร 1 ราย ราชบุรี 1 ราย สิงห์บุรี 1 ราย และจังหวัดอื่นทั่วประเทศไทยยังไปเที่ยวได้ไม่ต้องมีการกักตัว เพียงแต่ขอความร่วมมือประชาชนให้ใส่หน้ากากอนามัยให้ถูกต้อง หากมส่ไม่ถูกอาจรับและแพร่เชื้อได้ เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ และสแกนไทยชนะ
       “แม้แต่กรณีที่เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงคือกลุ่มที่มีโอกาสรับเชื้อจากผู้ติดเชื้อมากที่สุด ถ้าตรวจพบเร็ว ก็จะคุมโรคได้เร็ว ซึ่งในระยะหลังมานี้ การทำงานสามารถตรวจพบได้เร็วกว่าช่วงเดือนมีนาคมที่พบผู้สัมผัสเสี่ยงสูงมีการติดเชื้อ 3 % แต่ช่วงนี้มีการคุมโรคได้ดี ตรวจจับเร็วขึ้น กลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูงจึงพบติดเชื้อไม่ถึง 1%  ทั้งนี้ ขอให้ช่วยสอดส่อง พบคนมาจากต่างประเทศ ไม่ผ่านกักตัว14 วันแจ้งภาครัฐ”นพ.โอภาสกล่าว
สิงห์บุรีไม่มีการติดเชื้ออื่นต่อ

       ด้านพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า  ความก้าวหน้าการสอบสวนโรค กรณีการติดเชื้อในประเทศ ที่เป็นหญิง อายุ 51 ปี จ.สิงห์บุรีซึ่งติดจากผู้ติดเชื้อที่มาจากท่าขี้เหล็กนั้น  จ.สิงห์บุรีมีการติดตามผู้สัมผัสรายนี้ 55 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 37 ราย และผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 18 ราย ผลไม่พบเชื้อ ดังนั้น คนเกี่ยวข้องผู้ป่วยรายนี้ที่ส่วนใหญ่อยู่สิงห์บุรี สบายใจได้ไม่มีการติดเชื้อต่อ รวมถึง การตรวจผู้ร่วมเดินทางในเที่ยวบิน DD 8717 มีการตรวจผู้ใกล้ชิดรวม 25 ราย ไม่พบเชื้อ เท่ากับจากกรณีไม่พบการติดเชื้ออื่นเพิ่มเติม และจะครบกักตัว 14 วันในอีก 3 วัน ข้างหน้า 
   จุดเชื่อม 5 พยาบาลติดโควิดใน
ASQ

   นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์(พยาบาล)ติดโควิด 5 ราย ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานกันและทำงานในสถานที่กักกันทางเลือก(ASQ)นั้น จากการสอบสวนโรค พบว่า รายที่ 1 ซึ่งรายงานไปเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.นั้น เริ่มป่วยวันที่ 3 ธ.ค.มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ จึงเข้าตรวจพบติดโควิด จึงมีการติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่เป็นเพื่อนร่วมห้อง และผู้ร่วมงาน ทำให้ตรวจพบผู้ติดเชื้อในรายที่ 2-4   โดยรายที่ 2 และ 3 เริ่มป่วยวันที่ 4-5 ธ.ค.ตามลำดับ และรายที่ 4 เริ่มป่วยเมื่อวันที่ 29 พ.ย. มีน้ำมูก คัดจมูก มีเสมหะ เหมือนเป็นไข้หวัด แต่มีความเสี่ยง รายที่ 4 นี้จึงน่าจะเป็นคนแรกที่รับเชื้อก่อนคนอื่นและนำมาแพร่ต่อให้คนอื่นๆ

     จากไทมไลน์ของรายที่ 4และเชื่อมโยงกับอีก 4 รายนั้น พบว่า 24-27 พ.ย. ปฏิบัติหน้าที่ ASQ มีโอกาสพบผู้ติดเชื้อโควิดด้วยการเข้าไปในห้องผู้ป่วย เพื่อSWAB หรือเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งของผู้เข้าพักในASQจำนวน 3 รายที่เป็นครอบครัวเดียวกันเพื่อส่งตรวจหาโควิด วัดไข้ โดยขณะนั้นยังไม่ทราบผล ต่อมาพบว่าติดเชื้อทั้งครอบครัว แม้ว่าจะมีการชุดป้องกันแต่ในการปฏิบัติงานอาจมีจุดผิดพลาดเกิดขึ้นได้  จึงมีโอกาสเสี่ยงรับเชื้อ และเป็นเพื่อนร่วมห้องกับบุคลากรฯที่ติดเชื้อรายที่ 2 วันที่ 28 พ.ย.ทานอาหารร่วมกับรายที่ 1 , 2  และ 4   วันที่ 29 -30 พ.ย. รายที่ 4 เริ่มมีอาการ   วันที่ 1 ธ.ค. รายที่ 1 ส่งเวรกับรายที่ 3 และรายที่ 5 พบกับรายที่ 1 และ 3  จากนั้นวันที่ 3ธ.ค.รายที่ 1 เริ่มป่วย วันที่ 4 ธ.ค. รายที่ 2 เริ่มป่วยและพบกับรายที่ 5 และวันที่ 5 ธ.ค. รายที่ 3 เริ่มป่วย ส่วนรายที่ 5 นั้นไม่มีอาการป่วยแต่ตรวจพบเพราะเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงของรายอื่นๆ
ไม่มีคนติดเพิ่มเติมจากพยาบาล
     นพ.โสภณ กล่าวด้วยว่า จากการติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 51 คน สัมผัสเสี่ยงต่ำ 229 คน ไม่พบติดเชื้อ นอกจากนี้ รพ.ยังมีการเฝ้าระวังในบุคลากรของรพ.ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอีก 465 คน ก็ไม่พบเชื้อ รวมจากกรณีตรวจไป 745 คน ไม่พบเชื้อ อย่างไรก็ตาม จากที่บุคลากรทางการแพทย์ในสถานที่กักกันทุกประเภทมีการ
SWABผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 8 เดือน ราว 1.7 แสนครั้ง เพิ่งพบติดเชื้อจากการSWAB รายนี้เป็นรายแรกเท่านั้น ทั้งนี้ ได้มีการกำชับให้ต้นสังกัดของบุคลากรเน้นย้ำการเฝ้าระวังสังเกตอาการตัวเองของบุคลากร และยกระดับขั้นตอนการปฏิบัติงาน    

    “จากเหตุการณ์นี้ ผู้ติดเชื้อที่ตรวจเจอเป็นรายที่ 4 น่าจะเป็นผู้รับเชื้อคนแรกจากครอบครัวชาวต่างชาติที่เข้าพักในASQ อาจมีความผิดพลาดจากการปฏิบัติงานเป็นความบกพร่องของบุคคล(Human Error) ก่อนที่จะแพร่ต่อให้อีก 4 ราย แต่เป็นการติดเชื้อจากการใช้ชีวิตประจำวันร่วมกัน ไม่ใช่การติดเชื้อในรพ. และไม่มีใครติดเชื้อต่อเพิ่มเติม ”นพ.โสภณกล่าว

ไวรัสแพร่เร็วขึ้นแต่โรครุนแรงลดลง
     สำหรับกรณีไวรัสกลายพันธุ์ นพ.โอภาส กล่าวว่า ธรรมชาติเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ตลอดเวลา แต่ที่สนใจคือกลายพันธุ์กระจายเร็วขึ้น  รุนแรงมากขึ้นหรือไม่ ตายมากขึ้น และใช้วัควีนป้องกันน้อยลงไหม ที่ผ่านมาจากข้อมูลพบว่าสายพันธุ์ในปัจจุบันที่ระบาดทั่วโลก ต่างจากสายพันธุ์ที่ระบาดครั้งแรกในเมืองอู่ฮั่น ปัจจุบันเป็นสายพันธุ์  จี มากกว่า 80% พบทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยที่ตรวจพบในผู้ที่เดินทางมาจากทั่วโลกก็เป็นสายพันธุ์ จี  ซึ่งเมื่อติดเชื้อในเซลล์มนุษย์ จะสร้างไวรัสลูกออกมามากขึ้น แพร่ระบาดมากขึ้น แต่รุนแรงของโรคลดลง อัตราตาย 2% ทั่วโลก ส่วนของประเทศไทย ยังมีผู้ที่เข้ารับการรักษาอยู่ในรพ. 158 ราย เกือบทั้งหมดมีอาการน้อยหรือไม่มีอาการ เว้นแต่ชาย อายุ 70 ปีที่อ.แม่สอด จ.ตากที่มีอาการหนัก  
     “ฝากถึงประชาชนว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลค่อนข้างมากในโซเชียลมีเด๊ย ซึ่งมากกว่า 80% ไม่ตรงกับความเป็นจริง ไม่มีที่มาที่ไปหรือเป็นข้อมูลในอดีตที่นำมาเผยแพร่ในปัจจุบัน  ขให้ประชาชนตรวจสอบที่มาที่ไป และข้อมูลเก่าหรือใหม่ก่อน เพราะหากเชื่อทันทีจะทำให้ตื่นตระหนก”นพ.โอภาสกล่าว