ส.อ.ท.ชง 4 ข้อฟื้นเศรษฐกิจ แนะ ธปท.ดูแลค่าเงินบาท
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ (ส.อ.ท.) รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือน พ.ย.2563 ซึ่งปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 หลังจากมีหลายปัจจัยที่สนับสนุนความเชื่อมั่น
สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท. เปิดเผยว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน พ.ย.2563 อยู่ที่ระดับ 87.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 86.0 ในเดือน ต.ค.2563 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 นับตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ มีปัจจัยสนับสนุนจากคำสั่งซื้อ ยอดขาย และปริมาณการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ สำหรับตลาดในประเทศได้รับอานิสงค์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่องในโครงการต่างๆ อาทิ โครงการคนละครึ่ง ช็อปดีมีคืน เราเที่ยวด้วยกัน ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และเงินช่วยเหลือเกษตรกร ส่งผลดีต่อกำลังซื้อของประชาชนและ การใช้จ่ายในประเทศ รวมทั้งการใช้จ่ายภาครัฐในโครงการลงทุนต่างๆ ยังเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ขณะที่ตลาดต่างประเทศมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอาหาร สินค้าที่เกี่ยวกับการแพทย์และการป้องกันโรค และคำสั่งซื้อล่วงหน้าในกลุ่มสินค้าที่ใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ อาทิ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า เครื่องหนังฯ สินค้าเซรามิก เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น นอกจากนี้ ภาคการผลิตยังเร่งผลิตสินค้าเพื่อส่งมอบก่อนช่วงเดือนธันวาคมที่มีวันหยุดในช่วงเทศกาล
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังมีข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศและในประเทศที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากการลักลอบเข้าเมือง รวมถึงการระบาดในประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง
ขณะที่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนตลอดจนการแข็งค่าของเงินบาทส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของผู้ส่งออกและรายได้จากการส่งออกลดลง นอกจากนี้ผู้ประกอบการส่งออกประสบปัญหาขาดแคลนตู้ขนส่งสินค้าทำให้มีภาระต้องจ่ายอัตราค่าระวางเรือเพิ่มขึ้น
จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,258 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วประเทศในเดือน พ.ย.2563 พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก 70.5% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ 46.1% ราคาน้ำมัน 41.0% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 40.5% ตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ 55.0%
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 94.1 จากระดับ 91.9 ในเดือน ต.ค.2563 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และการใช้จ่ายของภาครัฐทั้งการบริโภคและการลงทุน รวมทั้งความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ และการผ่อนปรนมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าประเทศของชาวต่างชาติจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจระยะต่อไป
การสำรวจความเห็นครั้งนี้ผู้ประกอบการมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ประกอบด้วย
1.ขอให้ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2564 และเร่งเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
2.ขอให้ ธปท.ดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในทิศทางเดียวกับประเทศอื่นในภูมิภาค เพื่อให้ผู้ประกอบการส่งออกสามารถแข่งขันได้
3.เสนอให้ภาครัฐสนับสนุนส่งเสริมการนำตู้คอนเทนเนอร์เปล่าเข้ามาในประเทศไทย โดยการปรับลดอัตราค่าภาระขนถ่ายและค่าภาระหน้าท่าสำหรับการนำเข้าตู้เปล่า เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าตู้เปล่าเข้ามา ซึ่งจะสร้างแรงจูงใจให้สายการเดินเรือนำเข้าตู้เปล่าเข้ามาเก็บไว้ในประเทศไทยมากขึ้น และยังจะช่วยสร้างงานและสร้างรายได้ให้แก่ภาคธุรกิจการบริการซ่อมแซมบำรุงรักษาตู้คอนเทนเนอร์ในประเทศไทยด้วย
4.ขอให้ภาครัฐรักษามาตรฐานการควบคุมโรคโควิด-19 หลังจากมีการผ่อนปรนมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าประเทศของชาวต่างชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
ด้านสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงจำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์ของประเทศ ในเดือนพ.ย.2563 ดังต่อไปนี้ สำหรับการผลิตจำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนพ.ย.2563มีทั้งสิ้น172,455คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อน11.92% และเพิ่มขึ้นจากเดือนต.ค.ที่ผ่านมา15.46% เป็นเดือนแรกที่เพิ่มขึ้นในรอบ19เดือนจากสงครามการค้าเมื่อปี2562และการระบาดของโควิด-19เนื่องจากประเทศคู่ค้าเริ่มคลายการล็อคดาวน์และมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น
โดยผลิตเพิ่มขึ้นทั้งผลิตเพื่อส่งออกที่เพิ่มขึ้น4.25%และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศที่เพิ่มขึ้น18.64%จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนม.ค.-พ.ย.2563มีจำนวนทั้งสิ้น1,283,963คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 31.69%
ในส่วนการผลิตเพื่อส่งออก พบว่าเดือนพ.ย.2563ผลิตได้75,014 คัน เท่ากับ43.50%ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อน4.25% ส่วนเดือนม.ค.-พ.ย.2563 ผลิตเพื่อส่งออกได้649,893คัน เท่ากับ50.62% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี2562ระยะเวลาเดียวกัน 33.04%
ส่วนการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเดือนพ.ย.2563ผลิตได้97,441คัน เท่ากับ56.50% ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีก่อน18.64% และเดือนม.ค.-พ.ย. 2563ผลิตได้634,070คัน เท่ากับ 49.38% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน30.24%
สำหรับยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนพ.ย.2563มีจำนวนทั้งสิ้น79,177คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 2.7% และเพิ่มขึ้นจากเดือนต.ค.6.83% เป็นเดือนแรกที่เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 โดยรถกระบะเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สามติดต่อกันแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศเริ่มฟื้นจากการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19จากรัฐบาลรวมถึงการประกันรายได้เกษตรกร การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และการออกรถยนต์รุ่นใหม่รวมทั้งการลดแลกแจกแถมของผู้จำหน่าย